หนุ่มน้อยนั่งบนโต๊ะไม้ตัวเดิมต่างออกไปตรงที่อ้อมแขนไม่ได้โอบกอดขาทั้งสองข้างเอาไว้เช่นตอนแรก
ร่างกายที่มีเพียงชั้นในตัวบางเป็นสิ่งปกปิดส่วนสำคัญเอาไว้ช่างล่อแหลมมากไป
แม้ว่าคนเป็นนายจะไม่สนใจมันแต่อูฮยอนก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่เป็นที่สนใจ
นี่เกือบเปลือยอยู่ตรงหน้าเขาเลยไหมล่ะ..
"คุณซองกยู.."
เขาไม่ตอบเพราะกำลังทำขั้นตอนสำคัญอยู่
ผิวกายขาวเนียนโดนลมหายใจร้อนแตะต้องไปทีล่ะส่วนด้วยความเชื่องช้า
โพรงจมูกซึมซับกลิ่นกรุ่นจากซอกคออีกคนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ริมฝีปากนั้นถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแผ่วเบาเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าให้ความร่วมมือไม่ขัดขืนและทำตัวเป็นเด็กน่ารักอยู่นิ่งๆให้เขาพิสูจน์กลิ่นอยู่อย่างนั้น
เป็นอูฮยอนไม่ใช่หรือที่สมัครใจทำน้ำหอมกับเขาด้วยวิธีนี้
ก็แค่อยากมีกลิ่นเป็นของตัวเองก็เลยตั้งใจอยากจะทำและการได้ร่วมงานกับมืออาชีพที่มีตำแหน่งเป็นนายด้วยแล้วถือเป็นความโชคดีของมนุษย์ตัวจ้อยอย่างอูฮยอนแล้วสินะ
คนขี้แกล้งที่ทำเหมือนสิ่งเขากำลังทำเป็นเรื่องจริงจังหลังจากข้อมือเล็กโดนฉุดรั้งให้เข้าใกล้ซองกยู
เขาลากปลายจมูกโด่งตามแนวไหปลาร้าสวย
อกบางกระเพื่อมหนักเหตุไม่ใช่เพียงจมูกของเขาที่สัมผัสผ่านผิวเนื้อ
แต่เพราะริมฝีปากร้อนนั้นลากผ่านยอดอกกันอย่างใจจง
ความนุ่มหยุ่นที่เบาบางเพียงนี้ทำให้ร่างบางกำมือเอาไว้แน่นเสียจนรู้สึกเจ็บ
บางสิ่งที่แผ่กระจายจากตัวคิมซองกยูส่งผลให้บรรยากาศระหว่างคนสองคนอบอวลไปด้วยอำนาจของเขา
มันกัดกร่อนเลือดเนื้อ กลืนกิน จนฉุกคิดได้ว่าในเวลานี้...
อูฮยอนยังคงเป็นเจ้าของร่างกายตัวเองอยู่หรือไม่
"ผมว่า
พ..พอแล้วมั้งครับ"
การได้สูดดมผิวเนื้ออ่อนนี้ช่างทำให้เขากลายเป็นคนโลภได้อย่างน่าเกลียด
บางสิ่งในตัวเด็กหนุ่มคนนี้เปลี่ยนไป
ความรู้สึกที่เป็นดังอำนาจสั่งการกลิ่นว่าจะไปในทิศทางไหน
มหัศจรรย์เหลือเกินหากกลิ่นที่ซึมซาบออกจากผิวกายนี้ทำให้เขารู้สึกอยากถลำลึกลงไปมากกว่านี้อีก กลิ่นไร้ความซับซ้อนบ่งบอกอาการของเจ้าของกลิ่นได้ดี
อาการประหม่าจากอารมณ์วาบหวิว
กลิ่นเลือดสูบฉีดในร่างกายหมักบ่มเป็นเวลาไม่ถึงยี่สิบปีนั้นกลับอยากทำให้อยากค้นหาเกินไป
ตัวเร่งเร้าอย่างคิมซองกยูจะเป็นดั่งสารปรุงแต่งจากธรรมชาติให้หัวน้ำหอมชั้นเลิศของเขานั้นมีความลงตัวมากขึ้น
ไม่ใช่เพียงกลิ่นดอกไม้ ที่นานวันเข้าก็อาจถูกลืมเลือน..
“ยอดเยี่ยม.. ”
อูฮยอนไม่กล้าส่งเสียงถามเขาว่าความหมายของคำว่ายอดเยี่ยมในที่นี้หมายถึงอะไร
อีกทั้งเด็กหนุ่มไม่มีความกล้าพอที่จะมองเขาว่าตอนนี้เขาทำอะไรอย่างที่ตั้งใจไปถึงไหนต่อไหน
สีหน้าของเขา ความรู้สึกของเขา.. อูฮยอนไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย
ไม่มีอาภรณ์กั้นไว้ในยามนี้ทำให้จมูกของเขามันใช้งานได้ดีกว่าครั้งแรกเป็นไหนๆ
ร่างกายนี้ไม่เหมือนกลิ่นของดอกไม้ซะทีเดียวแม้จะให้ความรู้สึกบอบบางราวกลีบกุหลาบ
แต่ยามหนุ่มน้อยเขินอายมันอ่อนหวานคล้ายน้ำผึ้งและด้วยวัยนั้นก็ซ่อนความเปรี้ยวให้รู้สึกสดใสเหมือนผลไม้ป่า
อีกทั้งเมื่อสุขก็สดชื่นดังทะเล
รู้สึกถึงพลังกายเหลือล้นหากได้ดมดอมไปทั้งตลอดโดยไม่ลังเลเลยว่าหากมีคำถามว่าอยากได้ไหม… ไม่ว่ายังไงเขาต้องได้
ใบหน้าหล่อเหลานั้นเคลื่อนต่ำลงไปตามหน้าท้องแบนพร้อมกับมือบางแตะเข้าที่ไหล่กำยำนั้น
อูฮยอนขยุ้มเสื้อสีขาวสะอาดของซองกยูนั้นเต็มอุ้งมือ
ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดไปกว่านี้เรี่ยวแรงแห้งเหือดจากแขนเล็กพยายามดึงให้เขาไม่เคลื่อนหน้าลงไปในจุดที่ต่ำกว่านี้และถ้าเขาจะให้ความร่วมมือที่ดีกว่า
ในตอนนี้เขาไม่ควรยืดตัวขึ้นมากักเด็กหนุ่มเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างแบบนี้
ดวงตาคมที่ทอดมองกันราวกับตั้งใจว่าถ้าหากอีกฝ่ายเป็นน้ำก็คงระเหยและหายไปในอากาศได้โดยง่าย
คนกระทำการไม่สมควรกลับไม่มีทีท่าว่าตัวเองเป็นคนผิดแต่กลายเป็นอูฮยอนเสียเองที่เหมือนกำลังถูกสอบสวน… สายตานั้นกำลังถามว่าทำไมอย่างนั้นหรือ
“..คุณซองกยูครับ”
“ถ้ายังมีสติอยู่ ได้โปรดอย่าทำอย่างนี้…”
เพราะผมแทบจะร้องขอมันจากคุณ ผมกำลังจะเป็นบ้า..
“กับผม”
กับคนอื่น กับใครต่อใคร.. อย่าทำแบบนี้
ผิวขาวสัมผัสความเย็นจากน้ำในอ่างไม้ที่ใช้สำหรับชำระล้างกายจากการทำน้ำหอม
มือบางลูบของเหลวที่ยังหลงเหลืออยู่บนตัวออกช้าๆเพื่อถ่วงเวลา
เพราะใครอีกคนอาจจะกำลังรออยู่ที่หน้าห้องและส่งสายตาแบบนั้นที่ทำให้อูฮยอนหวั่นไหวอย่างง่ายดาย
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปยิ่งรู้สึกไม่พร้อมจะเจอหน้าเจ้าของบ้านขึ้นไปอีก
สีอ่อนหวานพาดผ่านแก้มใสและราวกับลูกมะเขือเทศในฤดูกาลเก็บเกี่ยวเมื่อยั้งความคิดของตัวเองไม่ได้
ศีรษะทุยมุดลงไปในน้ำเพื่อไล่ความร้อนที่เผาไหม้ผิวแก้มและนั่นชวนให้ใจสั่นเกินจะแบกรับไหว
สถานการณ์ที่ไม่อยากคิดคาดเดาไปเรื่อยนี่จะทำให้อูฮยอนเอาตัวรอดได้จากความรู้สึกของตัวเองได้หรือไม่
วินาทีต่อจากนี้กับหัวสมองที่แทบขาวโพลนต้องขบคิดให้หนักมากกว่านี้เสียแล้ว
มือบางหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดผมเปียกชื้นของตนก่อนจะพาดมันไว้ที่บ่า
ดวงตาสวยมองนาฬิกาโบราณที่อยู่ในโถงรับแขกแล้วพบว่าตัวเองเถลไถลมานานพอสมควร
เป็นเรื่องดีทีเดียวที่อูฮยอนไม่เจอเขารอที่หน้าห้องน้ำเพราะมันทำให้มีเวลาตั้งสติแม้เพียงน้อยนิดแต่มันสำคัญสำหรับอูฮยอน
เด็กหนุ่มพยายามมองหาเจ้าของบ้านเพื่อลากลับแต่ก็ไม่เห็นเสียทีจึงตัดใจและทันทีที่ก้าวขาออกไปคนที่ตามหาก็เดินสวนเข้ามาพอดิบพอดี
"อูฮยอน"
คิมซองกยูเรียกเด็กหนุ่มให้ขานตอบก่อนจะเดินผ่านพ้นประตูห้องโถงนี้ไป
ร่างเล็กหยุดเมื่อได้ยิน ใบหน้าหวานเงยมองเจ้านายหนุ่มตามปกติแต่กลับกลายเป็นลมหายใจตนที่อาจไม่ปกติเหมือนเดิม
"เอ่อ
คือผมจะลากลับน่ะครับ"
เสียงฟ้าร้องหรือจะดังสู้หัวใจที่เต้นโครมครามเสียจนน่าอาย
คนเป็นนายขยับเข้ามาใกล้อูฮยอนมากเกินความจำเป็น
ทางเข้าออกประตูนี้ไม่ได้คับแคบแต่เหตุใดคนสองคนถึงได้ยืนแออัดกันที่มุมหนึ่งของประตูได้
สายฝนเทกระหน่ำลงมาแรงสมกับที่อากาศร้อนอบอ้าวมาตลอดหลายวันไม่อาจกลบเกลื่อนสิ่งที่สิ่งไหวภายในอกได้มิดชิด
ดวงตาใสช้อนมองร่างสูงที่ยืนตรงหน้า
เขาก็มองกลับมาแต่ไร้คำพูดใดมีเพียงเสียงลมหายใจของเราทั้งคู่ ใยเจ้านายของเขาถึงได้อยู่ใกล้กันขนาดนี้
เด็กหนุ่มควรถอยกลับให้เขาได้ผ่านไปก่อนถึงจะถูกใช่หรือไม่
แล้วทำไมมือของเขาถึงได้จับข้อมือกันเอาไว้อย่างนี้
"ไม่ใช่ตอนนี้.."
ริมฝีปากอุ่นเคลื่อนแตะที่ขมับก่อนที่จมูกโด่งจะคล้อยฝังลงแก้มนิ่มแผ่วเบาโดยเจ้าของแก้มไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างเล็กแข็งทื่ออย่างที่คาดเอาไว้แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือกลิ่นเลือดหอมหวาน
เหล่าของเหลวสีก่ำกำลังสูบฉีดไปทั่วใบหน้าเล็กง่ายต่อการสูดดมในระยะที่มีเพียงลมหายใจของคิมซองกยูกั้น
เขาเปิดประเด็นขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมาทำให้คนที่ไม่ทันได้เตรียมความพร้อมกับเรื่องแบบนี้ต้องพยายามบ่ายเบี่ยงหนี
แต่มีหรือที่คนที่มีกลิ่นสื่อถึงความรู้สึกอย่างอูฮยอนจะรอดพ้น
เพราะกลิ่นพวกนั้นเปิดไพ่หมดหน้าตักแทนเจ้าตัวไปหมดแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับเขา
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก”
เรื่องในชั้นใต้ดินเมื่อครู่ทำให้อูฮยอนหวาดกลัว
เขาถูกชักนำด้วยกลิ่นพวกนั้นและมันยากต่อการควบคุมเมื่อได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด
แต่เมื่อถูกเข้าใจแล้วว่าเป็นคนไม่น่าไว้ใจก็ไม่ได้เสียหายอะไร
เพราะยังไงหนุ่มน้อยคนนี้ยังมีเรื่องที่ต้องรับมือกับเขาอีกมาก
แต่ไม่ว่าจะเป็นอูฮยอนที่ว่านอนสอนง่ายหรืออูฮยอนที่แสนพยศเขาก็มั่นใจว่าชอบทั้งนั้น
“เราคิดเหมือนกัน”
ซองกยูรู้ความคิดความอ่านของอูฮยอนไปเสียจนหมดเปลือก..
อูฮยอนแค่กลัวใจตัวเอง
บอกกับตัวเองและตอกย้ำว่าสิ่งที่เราสองคนรู้สึกมันเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นไปไม่ได้
ไม่สมควร เด็กหนุ่มที่ไม่เคยทำตัวนอกลู่นอกทางกำลังไม่ยอมรับว่าตัวเองชอบคิมซองกยูมากแค่ไหน
คนตรงหน้าเขาไม่กล้าแสดงออกแต่นั้นเป็นเพราะความกลัว
กลิ่นกายที่แทรกสอดกลิ่นหอมหวานออกมานั้นซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆตามความกังวลใจของร่างบอบบางนี้ทำให้เขาสนอกสนใจมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ฝ่ามือหยาบที่ทำงานหนักอย่างที่อูฮยอนประทับใจลูบศีรษะแผ่วเบาหวังให้เด็กที่หลบสายตาเพราะตกใจกับความรู้สึกของตัวเองนั้นใจเย็นลงอีกหน่อย
หากแต่ร่างบางพยายามเบี่ยงตัวหลบความหวังดีของร่างสูง
แววตาตื่นกลัวปรับให้เป็นปกติเหมือนเรื่องราวระหว่างคนสองคนไม่เคยเกิดขึ้น
ลำคอเพรียวมีปัญหากับการออกเสียงอย่างกะทันหันเมื่อสบเข้ากับตาเรียวคู่นั้น
ขอสาบาน…
ยามที่เขามองมาแบบนี้อูฮยอนหายใจไม่ออกเลย
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ไม่ได้รังเกียจเลยสักนิด..
แต่ความรู้สึกมันเกินจะแบกรับต่อหน้าเขาใน
“อูฮยอน”
เพราะอูฮยอนชอบเขามาก มันเป็นอย่างนั้น..
“…”
“ผมจะให้ยืมร่ม เอามาคืนด้วยนะครับ”
หลายวันผ่านจนแล้วจนเล่าคิมซองกยูก็ยังไม่ได้ร่มคืนจากหนุ่มน้อยแสนขี้อายคนนั้น…
เมื่อนึกถึงเหตุผลที่เขาคิดเองเออเองนั้นทำให้เกิดรอยยิ้มแต่งแต้มเป็นสีสันบนใบหน้า
ขอเข้าข้างตัวเองเสียหน่อยคงไม่เสียหาย
สัมผัสจากแก้มนุ่มแดงปลั่งยังฝั่งลึกอยู่ที่ปลายจมูกและริมฝีปากนั้นยังคงทำให้ซองกยูอารมณ์ดีได้ไม่ยากในขณะเดียวกันดวงตาเรียวก็กลับมาให้ความสนใจกับสิ่งตรงหน้า
ของเหลวสีขุ่นไหลลงมาตามสายยางก่อนจะหยดลงภาชนะที่เขาเตรียมไว้ทีละหยด
นิ้วเรียวหยิบจับอุปกรณ์บนโต๊ะทำงานอย่างคล่องแคล่วแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเวลาต่อไป
เด็กคนนั้นไม่ได้เข้ามาทำงานหลังจากเจ้าของตำแหน่งกลับมาทำงานเต็มเวลาอย่างที่ผู้ปกครองต้องการให้เป็น
เขาเองก็ยังวุ่นวายกับการทำน้ำหอมกลิ่นใหม่รวมถึงกลิ่นพิเศษที่มีชีวิตของเขานั้นก็ยังไม่แล้วเสร็จดีนัก
เขารู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักหลายวันรวมทั้งคิดถึงเรื่องของเจ้าของน้ำหอมมนุษย์เสียจนแทบไม่ได้พักผ่อน
เพราะเจ้าของโรงงานน้ำหอมที่นี่ก็เป็นเพียงคนบ้างานคนหนึ่ง
ไม่มีเวลาดูแลตัวเองและทุ่มเททุกอย่างให้เรื่องที่ตนสนใจโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
เรื่องของอูฮยอนก็เช่นเดียวกัน เพราะเขาสนใจ..
ขายาวก้าวผ่านเข้ามาในโรงครัวหวังมาแล้วจะพบเพียงแม่บ้านที่กำลังปอกผลไม้เป็นของว่างให้เขา
แต่แผ่นหลังเล็กของคนคนหนึ่งทำให้คิมซองกยูรู้สึกสะดุดตา
มือบางนั้นหยิบผลไม้เปลือกสีแดงอย่างที่เขาชอบขึ้นมาและเริ่มปอกมัน
ท่าทางเหมือนครั้งแรกที่เราทั้งสองคนเจอกันต่างออกไปตรงที่เปลือกของผลไม้นั้นถูกปอกลงบนจานและเขาไม่ได้ตั้งใจมาสำรวจกลิ่นกายหอมหวานที่ลาดไหล่สวยท่ามกลางแสงเทียนดังเช่นคืนนั้น
“เกรงใจจังเลยลูก
อาสามาช่วยทุกวันแบบนี้ป้าเราไม่เอาน้าตายเลยเหรอ”
“ก็อูฮยอนว่างนี่จ๊ะ”
“ยังไงก็ขอบใจมา.. อ้าว คุณซองกยู”
รอยยิ้มใสซื่อที่มีให้แก่ทุกคนที่พบเจอหุบลงเมื่อได้ยินชื่อของเจ้าของสถานที่แห่งนี้
น่ากังขาเหลือเกินว่าทำไมตัวถึงได้เย็นลงในเวลาอันรวดเร็วแบบนี้
เด็กหนุ่มวางแอปเปิ้ลที่ปอกเปลือกได้เพียงครึ่งลงที่เดิมก่อนที่จะทำมันตกลงพื้น
ที่นั่งรู้สึกถึงแรงหน่วงทำให้รู้ว่าใครคนนั้นเข้ามานั่งอยู่ข้างหลังไม่ห่างกันนัก
เขายื่นมือมาเอาจานผลไม้ที่ยังไม่เรียบร้อยดีออกไปแล้วจัดการมันตรงนี้
คุณน้าแม่บ้านดูตกใจกับการกระทำของเขาเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมากกว่านั้นนอกจากยิ้มให้ท่าทางที่ไม่สามารถหาได้บ่อยๆจากคุณคิมที่เธอแสนเอ็นดู
อาจเพราะกลิ่นน้ำหอมของเด็กตัวเล็กที่เขามีอยู่ทำให้ไม่เอะใจว่าเจ้าของกลิ่นอาจจะอยู่ใกล้เพียงแค่ในบริเวณของตน
ซองกยูอยากเจออูฮยอนแค่ไหนอูฮยอนไม่มีทางรู้แน่ เขาอยากตามไปถึงที่บ้านแต่ก็ยังไม่อยากทำอะไรที่คิดว่าเด็กคนนี้คงจะกลัว
ทุกอย่างติดตาไปหมดว่าเรื่องราวในวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง รูป รส กลิ่น เสียง
ยังคงแจ่มชัดวนเวียนไปมาและไม่สามารถสลัดออกจากความทรงจำได้
แผ่นหลังบางพยายามเคลื่อนตัวห่างคิมซองกยูออกไปอยู่อีกฝั่งของโต๊ะไม้ตัวใหญ่
“คุณซองกยูต้องการอะไรอีกมั้ยคะน้าจะได้จัดการให้”
“ไม่เป็นไรครับ
คุณน้ากลับก่อนเวลาก็ได้นะครับผมอนุญาต”
คนตระกูลคิมนี่ใจดีกันทุกคนเหมือนผู้นำตระกูลรุ่นนี้หรือไม่หนุ่มน้อยก็ช่างสงสัย
ใจดีกับทุกคน ใจดีกับใครต่อใคร แม้ใครคนนั้นไม่ใช่อูฮยอนก็ได้รับความใจดีจากเขา
รอยยิ้มที่พักหลังชาวสวนดอกไม้แห่งนี้ได้เห็นกันบ่อยครั้งปรากฏขึ้นอีกหลังคุณน้าแม่บ้านเดินออกไปทิ้งให้คนที่มาช่วยงานอยู่กับเจ้านายเพียงสองคนโดยไม่มีท่าทีเกรงใจหรือแสร้งทำเป็นจะอยู่ต่อเพื่อเอาใจนายสักนิด
จริงใจกันเสียจริงคนหมู่บ้านนี้..
“แต่ผมไม่ได้อนุญาตคุณอูฮยอนนะ”
เมื่อเห็นอีกคนเดินออกไปอูฮยอนก็คิดได้ว่าควรไปเช่นเดียวกันแต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่บ่งบอกชัดเจนว่าใครเป็นนาย
เป็นอีกสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่ชอบเพราะมันทำให้รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างที่ของคนสองคนและถ้าเรื่องที่เขารู้ว่าบ่าวคนนี้มีความสนใจในตัวเขามากเกินความพอดีนั้นเป็นเรื่องจริง
อูฮยอนในตอนนี้ก็เสียเปรียบทุกทางและไหนจะกลโกงของเขาที่ทำให้ไม่ชอบใจนั่นอีกก็ด้วย
“ร่มผมล่ะครับ”
“..ผมลืม”
ซองกยูเพียงอยากแกล้งลูกหมาที่ยังคงหันหลังให้เขาแต่เมื่อนึกย้อนไปถึงความผิดที่เคยก่อเอาไว้ก็คิดได้ว่าคนตัวเล็กตรงหน้าคงจะเอามาทบต้นทบดอก
กลายเป็นว่าไม่ไว้ใจเขามากขึ้นไปอีก
“อ่า.. งั้นก็ปอกที่เหลือให้เสร็จก็แล้วกันนะ”
“ทำไมไม่บอกคุณแม่บ้านก่อนให้เธอกลับล่ะครับ”
“ก็ตอนนี้อยากกินอีก”
สู้กับคิมซองกยูไปก็ไร้ประโยชน์ที่จะเอามาต่อยอดความมั่นคงในชีวิต
สะโพกบางนั่งลงในตำแหน่งที่คิดว่าปลอดภัยจากเขา
มือบางหยิบมีดเล่มเดิมขึ้นมาพร้อมกับแอปเปิ้ลแดงที่เหลืออยู่ออกมาเพื่อทำตามใจคนที่เป็นใหญ่ที่นี่
แต่มือนั้นกลับหยุดลงและหันมาเผชิญหน้ากับอายุมากกว่าโดยไม่สนใจว่าเขาจะตกใจแค่ไหนเมื่อท่าทีว่านอนสอนง่ายเมื่อกี้กลายเป็นหลังมือในเกือบจะทันที
“แต่ผมไม่ได้เป็นลูกจ้างคุณแล้วนะคุณซองกยู!”
“คนที่นี่ก็เหมือนลูกจ้างผมหมดแหละอูฮยอน”
“คุณก็เข้าใจนี่ว่าผมควรเป็นอะไรแค่นั้น” พลั้งปากออกไปอย่างไม่มีใครช่วยเตือน
“ที่จริงก็ไม่ได้อยากให้เป็นแค่นั้นหรอกนะ”
เด็กหนุ่มชะงักไปเพราะสิ่งที่เขาตอบกลับมา น้ำเสียงและสีหน้าของคิมซองกยูจริงจังกว่าทุกทีแต่อูฮยอนก็ยังคงยืนยันว่าจะพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะพูด
เพื่อป้องกันตัวเอง ปกป้องความรู้สึกที่มันเกินเลยกับคนเป็นเจ้านาย
“ผมไม่สนหรอกว่าจะพูดจะทำอะไร
แต่ช่วยระวังด้วย”
“ทำไมชอบหนีความจริงนักนะ”
“ผมไม่ได้หนี!”
“คุณรับตัวเองที่ชอบผมไม่ได้อย่างนั้นเหรอ”
เพียงพริบตาเดียวหลังสิ้นคำถามนั้นร่างหนาก็มาอยู่ตรงหน้า
กว่าจะรู้ตัวฝ่ามืออุ่นนั้นก็ช้อนประคองดวงหน้าเล็กของคนที่ชะงักไปเอาไว้โดยที่เจ้าตัวไม่ทันคิดต่อต้านเขา
มีเพียงแววตาอ้อนวอนนั้นที่ทำให้บรรยากาศระหว่างคนสองคนติดลบลงไป
แม้จะหายไปไม่นานแต่ความรู้สึกสองฝ่ายตีกันไปมาเสียจนยุ่งเหยิงและเหนื่อยล้า ต่างฝ่ายต่างมีเวลาที่จะจัดการกับความวุ่นวายใจเพียงลำพังทำให้มันแสดงออกผ่านสีหน้า
แววตา และการกระทำ คำตอบที่คิมซองกยูต้องการไม่ใช่ ไม่ แต่เป็นคำว่า ใช่
เพื่อที่เขาจะได้แสดงตัวตนของเขาให้อูฮยอนได้รับรู้และไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกเหล่านั้นได้อีก
“…คุณก็รู้ว่ามันไม่ใช่ทั้งหมด
อย่าคาดหวังอะไรจากผมเลย”
“โปรดบอกผมเถอะ”
“มันไม่ถูกต้อง”
เพราะเป็นคิมซองกยู อูฮยอนถึงได้เป็นแบบนี้
“เราต่างก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง เรามีความต้องการ
ให้มันเกิดขึ้นเพราะเรารักกัน ไม่ใช่เพราะเราเป็นใคร ได้ไหมอูฮยอน”
“สิ่งที่คุณต้องการให้ผมรับรู้
ผมรับมันไม่ไหวหรอก” มือเล็กพยายามดึงรั้งท่อนแขนของร่างหนาให้ปล่อยกันไป
แต่ซองกยูไม่ได้สนใจ
“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่อูฮยอนคิด”
ดวงตาคมจ้องลึกเข้าไปที่ตัวแทนหน้าต่างความรู้สึกเหมือนทุกครั้งที่มีโอกาส
และไม่ว่าเขาจะมองไปที่ส่วนไหนบนใบหน้าหวานของอีกฝ่ายก็ไม่อาจละสายตาไปจากตาเรียวทรงเสน่ห์นั้นได้เลย สายตาของเขานั้นกำลังพิสูจน์ความจริงที่เขารู้ดีอยู่แก่ใจ
เพราะความต้องการของเขาทำให้คนสองคนใกล้ชิดกันจนเกินเหมาะสม
เรือนร่างเล็กนั่งเกยตักเขาไปเสียตั้งแต่ตอนไหนมีใครทราบ ในท่าที่ที่เปรียบเหมือนคนเป็นนายด้อยกว่า
ไม่ได้ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเลยสักเพียงนิด กลับกันเพราะในตอนนี้อูฮยอนกำลังถูกวอนขอ
และเขารู้ตัวดีกว่าตาชั่งเริ่มเอนเอียงไปทางไหน
“ไม่ว่าจะเป็นอะไรให้ผมช่วยแบกมันไว้ก็ได้”
“เถอะนะอูฮยอน” ได้โปรดอย่าเรียกกันด้วยน้ำเสียงแบบนั้นเลย..
“ช่วยเปิดโอกาสให้คนเห็นแก่ตัวคนนี้ได้รักคุณด้วย
…ที่รัก”
ไม่ไหวแล้ว
เขาช่างหลอกล่อกันได้ด้วยคำพูด
ที่อูฮยอน…
อยากได้ยิน…
…Scent Of The Boy…
ราวกับต้องมนต์
สิ้นสุดคำพูดนั้นแก้วตาใสนั้นก็ถูกบดบังไว้ด้วยเปลือกตาสีอ่อน
หนุ่มน้อยรับรู้ได้ถึงสัมผัสอบอุ่นแผ่วเบาที่พวงแก้มเนียนก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มเมื่อริมฝีปากตนนั้นถูกครอบครองด้วยสัมผัสที่ต่างออกไป
มันไม่แผดเผากลับกันมันให้ความอบอุ่น ความอุ่นที่ลึกลงไปทุกอณูของร่างกาย
แทรกซึมเข้ามาทำให้สิ่งที่คิดเอาไว้แตกกระเจิงไม่สามารถกลับมาประกอบกันได้ใหม่
สิ่งคลอเคลียที่เรียวปากอิ่มทำให้หัวสมองขาวโพลน
ความหวามไหวในอกเล่นงานกันเสียจนหมดท่า
หัวใจดวงเล็กกำลังระรัวกับสัมผัสที่ไม่คุ้นชินและท่อนแขนของเขาที่โอบรอบเอวกันเอาไว้
ให้เราได้ใกล้ชิดกันมากกว่าที่เคยเสียจนเด็กหนุ่มรู้สึกขัดเขินมากขึ้นนอกเหนือจากปากของเรายังคงประกบกันอยู่อย่างนี้
ลิ้นของเขา.. ช่างอ่อนนุ่ม
คิมซองกยูนั้นช่างเห็นแก่ตัวในเรื่องแบบนี้อูฮยอนรู้
เขาไม่ปล่อยให้อูฮยอนได้ห่างกันแม้เพียงเสี้ยววินาที
คนไร้ประสบการณ์ในอ้อมอกได้แต่พยายามประท้วงในลำคอให้เขาผละออกเพื่อขอให้ได้หายใจ
คนเป็นนายนั้นก็ใจดีกับลูกมือตัวน้อยเสมอจึงให้โอกาสนั้นไม่อิดออด
สายตาของเขาสำรวจใบหน้าหวานที่ยังคงเรื่อสีหวานน่ามองรวมถึงดวงตาใสเสมองไปทางอื่นพลางมองไปที่ประตูโรงครัว
ก่อนจะหันมาแล้วพบว่ามีคนมองอยู่จึงหลุบลงไปมองมือตัวเองที่ไม่ได้วางอยู่บนอกคนตรงหน้าเช่นก่อนหน้านี้
มือสวยเกลี่ยผมม้าของเด็กหนุ่มเผยให้เห็นเสี้ยวของแววตาที่เติมไปด้วยความเขินอาย
ริมฝีปากอิ่มพยายามกระซิบบอกอะไรซักอย่างกับเขา
ไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้เอ่ยสิ่งใดต่อเขาก็ปิดริมฝีปากที่เอาแต่เฝ้าคิดถึงนั้นด้วยปากของตัวเอง
ต่างออกไปจากครั้งแรกที่ความนุ่มหยุ่นนั้นถูกดูดดึงเชื่องช้าแต่แรงที่เขาใช้แทบกลืนกินกันไปได้ทั้งร่าง
เขารู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางที่อูฮยอนจะรังเกียจเขายิ่งมือเล็กนั้นไร้หนทางจนต้องพึ่งพาอกเขาก็ยิ่งได้ใจ
ลิ้นเล็กรู้สึกถึงตัวเขาและมันทำให้ร้อนไปหมดเมื่อเขาเกี่ยวกระหวัดเอาไว้ให้แนบแน่น
รสจูบของเขานั้นทั้งดุดันและหวานล้ำเป็นที่สุดเกินกว่าจะฝันหา
สัมผัสจากสิ่งเคลื่อนไหวภายในโพรงปากนั้นนอกจากชวนให้แข้งขาอ่อนแรงแล้วยังเผาไหม้กายบางให้เป็นจุลได้ทั้งร่าง
การตอบรับแสนเงอะงะช่างน่าเอ็นดูเสียจนอยากเข้าไปทักทายให้ลึกซึ้งได้มากกว่านี้
..ให้รสชาติของเราได้ผสมกัน ให้ร่างกายของเราผสานเป็นหนึ่งเดียว
ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าพาอูฮยอนมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ฝ่ามืออบอุ่นประคองแผ่นหลังเล็กลงผืนเตียงด้วยความอ่อนโยนที่เด็กหนุ่มไม่อาจคาดหวังได้จากคนเป็นนาย
แผ่นหลังบางรู้สึกได้ถึงความนุ่มของผืนเตียงและร่างหนาที่ทาบทับกันเข้ามา
ร่างบางสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่บั้นท้าย
แรงบีบหยอกเย้าจากมือของคนเป็นนายนั้นเพิ่มกำลังมากขึ้นและอูฮยอนไม่อาจขัดขืน
ดวงตาหวานฉ่ำเต็มไปด้วยอารมณ์วาบหวามมองออดอ้อนอีกฝ่าย
ปากอิ่มหอบหายใจตามสัญชาตญาณ
อกบางกระเพื่อมช้าเฉื่อยและสัมผัสกับอกแกร่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ดวงตาคมจ้องมองที่ตาใสอย่างไม่อาจละสายตาเช่นเดียวกับที่ลูกแก้วที่งดงามนั้นสะท้อนภาพของเขากลับมา
มือบางขยุ้มชายเสื้อของคิมซองกยูอย่างชั่งใจแตกต่างจากร่างกายไม่ยอมฟังกันแม้แต่น้อย
ร่างสูงผละออกจากกันเพียงครู่เพื่อปลดเปลื้องสิ่งห่อหุ้มกาย
เด็กหนุ่มมองร่างกายสมส่วนนั้นอย่างหลงใหล เขาไม่ดูผอมจนเกินไปเหมือนอูฮยอนอย่างที่คุณป้าชอบบ่นจนหูชา
ผิวเขาขาวราวกับไม่เคยแตะต้องความร้อนแรงของแสงแดดแม้เขาก็เป็นคนหนึ่งที่โหมทำงานหนัก
แสงจากโคมไฟสีนวลภายในห้องสะท้อนกับผิวกายชื้นเหงื่อนั้นเผยให้เห็นรอยแผลเป็นเหนืออกซ้ายลักษณะเป็นทางยาวขึ้นไปที่หัวไหล่กำยำ
อูฮยอนไม่อาจมองเห็นเป็นรอยตำหนิแม้แต่น้อย กลับกัน..
เหตุใดมันช่างดูเข้ากับเขานัก ภายนอกที่ดูเรียบง่ายเป็นผู้ใหญ่
มองแล้วไม่อาจไขว่คว้า ภายในเขาก็คือผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นแค่คนธรรมดา
และทำให้อูฮยอนรู้ว่าเขาก็ไม่ได้งดงามเสียจนเด็กหนุ่มเอื้อมไม่ถึง
รอยแผลเป็นแบบนั้น.. ที่อูฮยอนไม่มี
“ขี้โกงนี่ครับคุณซองกยู”
“…..”
“ผมก็ร้อนเป็นเหมือนกันนะ”
ดอกไม้ ผลไม้ป่า
ธรรมชาติเลื่องลืออันใดช่างสรรสร้าง
คิมซองกยูอาจสิ้นสติได้แม้ได้ดอมดมกลิ่นที่แสนอ่อนหวานจากกายเด็กหนุ่ม
ไม่ว่าจะเป็นผิวแก้มนิ่มนั้นที่ละมุนละไมราวดอกฝ้าย ความเคอะเขินของเด็กหนุ่มเพิ่งเริ่มมีความรักช่างแสนเดียงสา
เรียบง่าย งดงาม ราวกับมะลิแสนบอบบาง ยามยลกลิ่นช่างชื่นใจ
ความหอมหวานแผ่ซ่านปกคลุมทั่วกายเราทั้งสองด้วยสิ่งนี้
แม้เด็กหนุ่มสุดพิเศษคนนี้ไม่รับรู้สิ่งใดในกายเลย แต่คิมซองกยูนั้นรู้ดี …รู้ดีกว่าใคร
ไม่ใช่เพียงฟีโรโมนที่รับรู้ได้จากสมอง
แต่กลิ่นพวกนี้
สร้างสิ่งน่าจดจำและเขาจะกักเก็บมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด
อูฮยอนไม่ทราบว่าได้เอ่ยสิ่งใดออกไปแต่เมื่อเขาสัมผัสผิวกายกันโดยตรงแล้ว
น่าอายนักที่ต้องยอมรับว่าอยากร้องออกมาเพราะเขาทำให้อูฮยอนรู้สึกดีเหลือเกิน
อีกทั้งมือคู่นั้นทั้งแข็งแรง อบอุ่น
เพียงปลายนิ้วที่แตะต้องก็ยากเกินห้ามให้คิดเตลิดไปไกล
แต่ตัวเองกลับทำอย่างกับคนไร้ซึ่งสติว่าตอนนี้เรามาไกลกันแค่ไหนแล้ว …อูฮยอนคนโง่
ปากร้อนไล่เลียแตะต้องกายบางไปทีละนิด
ร่องรอยจากการดูดดึงของเขาและฟันคมที่ขบกัดลงไปทำให้ผิวเนียนรู้สึกเจ็บ
แต่ช่างเป็นความเจ็บที่ทำให้รู้สึกดีอะไรขนาดนี้อูฮยอนเองก็ไม่ทราบ
ความชื้นทาบทับที่ผิวหน้าท้องเนียนนั้นด้วยความหลงใหล
ริมฝีปากร้ายกาจนั้นลากไล้ไปทั่วทั้งร่างกายชวนให้ใจสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็น
เด็กหนุ่มนอนนิ่งให้เขากระทำสิ่งต่างๆกับร่างกายอย่างที่เขาชอบใจ
อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเสียจนขึ้นสีระเรื่อไปทั้งร่าง
แรงดูดดึงผิวกายจากคิมซองกยูทำให้รู้สึกประหลาดจนอุ้งมือเล็กกำผ้าปูที่นอนของเขาแน่นทั้งสองข้าง
รสผิวนวลทำให้เขาราวกับถูกมอมเมาจากแอลกอฮอล์ชั้นดีอีกทั้งกลิ่นกรุ่นแต่กลับโหมกระพืออารมณ์ในกายเช่นได้สูดดมไวน์ที่ถูกบ่มเพาะจากถังไม้ที่ดีที่สุด
จมูกคมแตะต้องผิวนุ่มที่หน้าท้องแบนแล้วเคลื่อนที่ลากวนเสียจนคนถูกกระทำวูบวาบไปทั่วช่องท้อง
ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเมื่อ กายบางส่งกลิ่นรัญจวนลอยเหนือผิวเนียนขึ้นมาทั้งร่าง
ไม่เพียงกลิ่นของอัลบาคาเมลเลียเพลนาอย่างที่ซองกยูเคยเปรียบเปรย
แต่กลิ่นที่ทำให้รู้สึกถึงความซุกซนเช่นผลไม้ป่ารสเปรี้ยวนั่นก็แสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาก็มีความอยากรู้อยากลองในเรื่องแบบอยู่เหมือนกัน
ก้อนเนื้อในอกที่เล็กกว่ากำปั้นของชายหนุ่มเต้นระรัวยิ่งกว่าหนใดในชีวิตสูบฉีดให้กลิ่นเลือดดั่งแอลกอฮอลชั้นดีที่ผสมกับขนมหวานชั้นเลิศช่างล้ำค่าหาที่ใดตินั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
ริมฝากร้อนผ่าวอยากจะละเลียดชิมเนื้อหวานนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ลิ้นเรียวนำพาความชื้นแตะต้องใกล้จุดสงวนมากทุกที หน้าท้องเรียบถูกกดจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าหนักเบาต่างกันไป
สะโพกบางแอ่นรับความต้องการตามสัญชาตญาณพร้อมเสียงครางในลำคอที่ไม่อาจมิดเม้นได้หมด
และยามที่ความอุ่นชื้นลากไล้ไปทั่วใกล้ส่วนอ่อนไหวกึ่งกลางร่างกาย
ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นก็ประดังประเดเข้ามาหาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่เพราะเขาอยากจะแกล้งร่างบางนี้หรืออย่างไรถึงได้ทำให้อารมณ์กำลังพุ่งสูงขึ้นแต่กลับเปลี่ยนทิศทาง
ต้นขาด้านในถูกเขาจูบสร้างร่องรอยเอาไว้
อกบางกระเพื่อมขึ้นลงหนักพร้อมคิ้วสวยที่ขมวดมุ่นนั้นทำให้เขาอยากจะหยอกล้อกับร่างกายนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
นิ้วเรียวยาวแตะต้องช่องทางบอบบางผ่านชั้นในเนื้อนิ่มนั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเสียวซ่านจนกระตุกเกร็ง
ขาเรียวหุบเข้าหากันแต่มือคู่นั้นที่สร้างความปั่นป่วนก็ไม่ยอมแพ้
เขาเบิกช่องทางให้หนุ่มน้อยเสียจนกระสันไปทั้งกายเรียกเสียงครางหวานหูที่คิมซองกยูอยากได้ยิน
ยิ่งลึกล้ำก็ยิ่งทรมาน
อ้อมแขนเล็กรั้งคอให้ร่างหนารับจูบแสนน่าเอ็นดูนั่นเพื่อปกปิดเสียงครางเครือที่น่าอายของตัวเอง
ซองกยูเข้าใจดีและปล่อยให้อีกคนหลับตาปี๋ทั้งที่ตัวเองเป็นคนดึงเขาเข้ามาจูบก่อน
คิมซองกยูเองก็ทนไม่ไหวแล้วและคิดว่าไม่ควรปล่อยให้อูฮยอนรอดไปได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว
เขาเข้าไปใกล้คนที่นอนทอดสายตามาให้เขาโดยที่ไม่รู้ตัวว่านั่นคล้ายกับสิ่งที่เรียกว่ายั่วยวน
อูฮยอนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและไม่มั่นใจว่าจะแบกรับมันไหวหรือไม่
ในแรกเริ่มเขาสัมผัสกันอย่างแผ่วเบาที่ส่วนนั้น มันเข้ามาทีละนิด..
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเจ็บ อึดอัดเสียจนอูฮยอนต้องดึงหมอนข้างเข้ามากอดและซุกใบหน้าลงไป
น้ำตาใสไหลออกมาด้วยตัวของมันเองปล่อยให้ซึมซับลงไปที่ใยผ้าอย่างห้ามไม่ได้
แรงบีบที่ท่อนขานั้นมากขึ้นและเป็นสัญญาณว่าเขาจะเข้ามาหากันอีก
มือบางปล่อยจากหมอนแล้วดันหน้าท้องแกร่งของอีกคนเอาไว้ เสียงหวานสั่นเครือเอ่ยออกมาแผ่วเบา
“ช้า.. กว่านี้หน่อยครับคุณซองกยู”
แม้ใจต้องการจะตักตวงความหอมหวานของอีกคนมากเท่าไร
แต่มันไม่มีเหตุผลที่เขาต้องทำให้อูฮยอนเจ็บเพราะความต้องการของตัวเองในเรื่องที่เห็นแก่ตัว
ซองกยูโน้มลงมาหาเด็กน้อยของเขาก่อนจะจูบซับความเจ็บปวดที่อัดแน่นในหยดน้ำตาเหล่านั้นให้
เอวสอบดันกายเข้าไปในตัวอีกคนด้วยความช้าเฉื่อยและมันลำบากเพราะผนังเนื้อนิ่มรัดรึง
ลมหายใจขาดห้วงนั้นทำให้เขาเป็นห่วงนักแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆที่อูฮยอนส่งมาให้กัน
มันเพียงพอแล้ว
ช่วงเวลาที่รอสิ่งนั้นทำให้เด็กหนุ่มแทบขาดใจ
เขาเข้ามาอยู่ในตัวของอูฮยอนแล้วเรายังค้างอยู่ในท่าทีที่ห่างจากคำว่าวาบหวิวมาไกลแสนไกล
ความเจ็บยังคงแล่นพล่านไปทั่วกายยากนักต่อการลืมตาขึ้นมาเผชิญความจริง
เด็กหนุ่มใจแตกที่เล่นสนุกตามใจจนเลยเถิดมาถึงขั้นนี้คงกลับตัวได้ยากนัก
หากแต่รอยจูบที่ปลอบประโลมของเขานั้นเชิญชวนให้หลงใหลเกินกว่าจะถอยหนี
เสียงแหบโทนต่ำไพเราะของเขาราวกับเป็นสิ่งเสพติดที่อยากจะได้ยินเขากระซิบข้างใบหูด้วยคำหวานไม่รู้จบ
ดวงตาของเขาช่างมีอำนาจสั่งการตราตรึงกันไปทั้งกายรวมทั้งหัวใจดวงน้อยของตน
กายเล็กใต้ร่างเขาอบอวลไปด้วยความหอมชวนคลั่งไคล้เกินกว่ากลิ่นของอำพันหรือเครื่องเทศใด
แรงเสน่หาโอบล้อมไปทั้งตัวแบบนี้มีหรือเขาจะไม่อยากตักตวง
ไม่ต่างจากกลิ่นที่สดใสจากความไร้เดียงสาในตอนแรกที่พบกัน
กลิ่นที่แสนอ่อนหวานจากความเขินอายเมื่อเขาเข้าใกล้
และยิ่งร่างบางบิดเร่าด้วยความหวามไหวอย่างที่เป็นอยู่
ผสมกับเหงื่อจากปฏิกิริยาของร่างกายที่ขับออกมาเมื่อภายในมีอุณหภูมิสูงแล้ว
ก็เช่นเดียวกับการเร่งปฏิกิริยาทางเคมี ยิ่งร้อน..
ก็ยิ่งเร่งให้เกิดเร็วขึ้นเท่านั้น
ร่างกายกำยำเริ่มเคลื่อนไหวเชื่องช้าค่อยเป็นค่อยไปแต่หนักแน่นทุกท่วงท่า
ความแข็งขืนที่เข้าออกอยู่ภายในกายบางนั้นทำให้ได้เข้าไปทำความรู้จักกับโลกอีกใบที่ไม่เคยได้พบเจอ
อากาศรอบกายช่างเปราะบาง
ไม่ว่าจะกอบโกยอากาศเข้าออกมากเพียงใดก็ดูไม่เพียงพอเลยสักนิด
ดวงตาสวยเหม่อมองอีกคนพลางขบริมฝีปากอิ่มเอาไว้
ใบหน้าหวานเชิดขึ้นก่อนที่คนเป็นนายจะโน้มลงมาที่ลำคอขาวสูดดมความหอมกรุ่นแฝงลึกไปด้วยความร้อนแรง
ปากร้อนเล้าโลมตักตวงความหวานจากอีกคนและไม่ลืมสร้างสิ่งตีตราไว้ว่าเด็กคนนี้เป็นของเขา
อกบางกระเพื่อมหนักจากการหอบหายใจลึกราวกับกำลังสิ้นลมเต็มที
มือเล็กสอดเข้ากลุ่มผมสีเข้มของอีกคนเอาไว้ก่อนจะปัดป่ายไปทั่วแผ่นหลังกว้างแล้วโอบกอดเขาเอาไว้แนบกาย
“อ่า.. อูฮยอนนา”
“…อึก อะ อ๊าา”
เขาเจอมันแล้วส่วนที่กระตุ้นความรู้สึกในส่วนที่ลึกที่สุดในร่างกายบอบบาง
คิมซองกยูกดย้ำบริเวณนั้นเสียจนอูฮยอนไม่อาจหักห้ามเสียงร้องใดได้
ลมหายใจร้อนเจือเสียงครางที่ข้างหูนั้นทำให้ร่างหนาแทบบ้า
ช่องทางตอดรัดตัวตนเขาแน่นทุกทิศทาง มันโอบอุ้มกันไว้ด้วยความนุ่มนวลแต่ภายในกายเขาช่างอึดอัดยิ่งนัก
อยากปลดปล่อยใส่กายอีกคนแต่นั่นคงเป็นอะไรที่ไม่ควร
มือเรียวดันต้นขาขาวให้แยกออกจากกันอีกเพื่อเขาจะได้เข้าไปสัมผัสความหอมหวานได้ล้ำลึกยิ่งขึ้น
ร่างเล็กกระตุกเกร็งแล้วปลดปล่อยคราบคาวออกมาเลอะหน้าท้องทั้งคู่
แต่คิมซองกยูได้เพียงจับจ้องดวงหน้าหวานที่ซับสีเลือด
และริมฝีปากอิ่มสีสวยนั้นที่ไม่ว่าชิมรสมากเพียงใดมันก็ไม่รู้สึกถึงการเติมเต็ม
“ค คุณซองกยู”
มือเล็กประคองใบหน้าหล่อเหลาให้ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกัน
หน้าผากมนแตะเข้ากับหน้าผากของคิมซองกยูอยู่อย่างนั้น
ทั้งสองคนหอบหายใจรดรินแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่อัดแน่นส่งผ่านทุกห้วงไอร้อนที่บ่งบอกถึงความมีชีวิต
ความรู้สึก
ลมหายใจของอูฮยอนที่ทอดผ่านใบหน้าหล่อเหล่านั้นเต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ
ชายหนุ่มน้อมรับทุกสิ่งอย่างที่เด็กน้อยตรงหน้าหยิบยื่นให้เขาด้วยรอยยิ้มเบาบางอย่างที่อูฮยอนชอบ
นัยน์ตาใสเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะพบว่านัยน์ตาพร่ามัวของคนทั้งสองนั้นมีความคล้ายคลึงอย่างประหลาด
เขาช่างเป็นคนที่น่ากลัวหนักหนาบางทียามหยอกล้อเขาเป็นชายหนุ่มอารมณ์ดีที่เด็กหนุ่มมักจะเผลอไผลไปกับเขาทุกครั้ง
บางทีที่เขาแสดงท่าทางเหมือนหนุ่มเจ้าสำราญชวนให้หลงเสน่ห์ในความเจ้าชู้
แต่ครั้งนี้ราวกับเขาเป็นมัจจุราชที่กำลังจะพรากลมหายใจกันไปเพราะแรงรักที่ทำให้หวามไหวเสียจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
นิ้วเรียวยาวร้อนผ่าวดังเคียวแห่งความตายลากไล้ทั้งหนักเบาก็ทำให้รู้สึกไม่ต่างจากการกรีดเลือดเนื้อและพร้อมจะปลิดชีพได้ทุกเมื่อ
ความนุ่มหยุ่นจากริมฝีปากชื้นแตะต้องผิวนวลเนียนไปทั่วร่างกายเสมือนพร่ำบทสวดที่กำลังพิพากษาว่าเด็กน้อยคนนี้จะได้ไปเยือนสวรรค์หรือดำดิ่งสู่นรกภูมิ
“อีกนิด.. อ่า”
เด็กหนุ่มกอดคอแกร่งเอาไว้แน่น
อีกทั้งเสียงครางหวานขาดห้วงไปเพราะแรงปรารถนาฉุดรั้ง
เอวสอบเคลื่อนไหวดุดันและกระแทกกระทั้น
เสียงเนื้อหนั่นกระทบกันของสองร่างดังขึ้นทั่วห้องไม่ขาดสาย
แรงอารมณ์ของชายหนุ่มกำลังจะถูกปลดปล่อยในไม่ช้า ก่อนมันสิ้นสุดเขากระแทกกายหาร่างเล็กรุนแรงมากขึ้นเท่าตัวก่อนจะพยายามถอนแกนกายออกให้ทันเวลา
“ย.. อย่าไป”
อ้อมแขนเล็กกอดรัดร่างหนาไว้รวมถึงเรียวขาที่กันเขาไม่ให้ถอยออกไป
ภายในกายเด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนที่แปลกประหลาด
ช่องทางนิ่มรองรับคราบคาวของคนอายุมากกว่าเอาไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ
ถึงตอนที่เขาจะผละกันออกไปอูฮยอนไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงได้รั้งเขาไว้อย่างนี้
ร่างหนาเกร็งไปทั้งตัวเพื่อปลดปล่อยเข้าไปในตัวอีกคนให้หมด
ใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าที่อยากบอกขอโทษกับอูฮยอนแต่คนที่รั้งกันเอาไว้กลับหลับตาพริ้มแถมยังไม่ยอมปล่อยเขาไปโดยง่าย
ริมฝีปากซนจึงเข้าไปรบกวนใบหูขาวสะอาดด้วยถ้อยคำที่ฟังดูชอบกล
“หมดแล้วอูฮยอน ..หมดแล้ว”
เด็กน้อยที่กักตัวกันไว้ค่อยๆคลายแขนและขาออก
ใบหน้าหวานเบือนหนีสายตาร้อนแรงของคนตรงหน้า
น้ำเสียงโทนต่ำและคำพูดที่ชัดถ้อยชัดคำที่เขาใช้สื่อสารกันตลอดเวลานี่อาจจะฆ่าคนได้เพราะความน่าหลงใหล
นิ้วมือเรียวยาวแตะเข้าที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคนใต้ร่างด้วยความรักใครก่อนเจ้าของนิ้วเรียวนั้นจะฝั่งจมูกลงที่แก้มนิ่มเพื่อซึมซับความหอมหวาน
อ้อมแขนแกร่งโอบกอดร่างเล็กเอาไว้เสียจมอก
คนอายุน้อยกว่าได้เพียงพูดเสียงอู้อี้ออกมาแทบฟังไม่ได้ศัพท์
“ผมหนักนะคุณซองกยู”
คนเป็นนายหัวเราะในลำคอหากแต่ไม่มีท่าทีจะคลายอ้อมกอดนั้นออก
มือบางเกาะเอวอีกคนเอาไว้ก่อนจะเบียดกายเข้าหาไออุ่น
อูฮยอนไม่คาดฝันว่าสิ่งนี้จะเป็นของเขา รอยยิ้ม คำพูดแสนหวานและปลอบประโลม อ้อมกอด
ริมฝีปากบางนั้นที่หวานเกินกว่าสิ่งใดที่อูฮยอนเคยลิ้มรส ทั้งหมดนี้.. เพราะอูฮยอนไม่ใช่แค่ชอบ
เพราะอูฮยอนรัก..
แต่สำหรับอูฮยอนแล้ว
ความอ่อนหวานที่เขามอบให้นั้นยังช่างอันตรายเกินจะแบกรับ…
…………………………
หากมีสิ่งใดมาวัดหน่วยความสุขของอูฮยอนได้สิ่งนั้นคงเป็นอะไรที่อัศจรรย์เหลือเกิน
ในตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองเหมือนเป็นคนที่ถูกโอบล้อมด้วยความละมุนของดอกไม้
สายลมอ่อนไหวพัดพาสิ่งที่ทำให้ใจเต้นรัวเข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันที่ได้เจอกับคิมซองกยู
หนุ่มน้อยนั่งอมยิ้มเพียงคนเดียวในโถงใต้ดินพร้อมทั้งถือขวดแก้วทรงยาวใบเล็กไว้ในมือ
ดวงตาสดใสจ้องมองสีขาวขุ่นของน้ำหอมกลิ่นมนุษย์ที่ทั้งสองคนสร้างขึ้นมาด้วยความอารมณ์ดี
กลิ่นของอูฮยอนที่สามารถเปลี่ยนไปตามอารมณ์ความรู้สึก
กลิ่นนี้ที่เป็นความพิเศษเช่นคำเยินยอของคนรัก
เขาโอ้อวยมันเสียจนเด็กหนุ่มรู้สึกขัดเขินปนขำว่าคิมซองกยูเองก็มีมุมแบบนี้เหมือนกัน..
แต่อย่างที่ใครบางคนเคยได้บอกเอาไว้…
ความสุขมักผ่านไปรวดเร็วเสมอ
ห้องลับที่มีเพียงคนสองคนได้เข้าไปใช้นั้นต้อนรับเด็กหนุ่มอีกครั้ง
อูฮยอนเพียงอยากเข้ามาในสถานที่เดิมที่ทำให้อูฮยอนรู้สึกได้ถึงความหวั่นไหว
สัมผัสจากปลายนิ้วลากไล้ไปทั่วกายยังคงตราตรึง กลิ่นฉุนของน้ำยาพิเศษยังคงมีกลิ่นอ่อนๆลอยอยู่ทั่วห้อง
เตียงไม้หน้าตู้ดองดอกไม้เก่าแห้งลงไปตามกาลเวลา
ตาใสมองผ้าใบสีดำที่ปกคลุมตู้แก้วอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
มือบางเปิดมันออกและพบว่ามันยังถูกใช้งานตามปกติไม่เหมือนที่คาดเอาไว้
ภายในมีน้ำยาดองอยู่และอูฮยอนอยากทราบเหลือเกินว่าดอกไม้หรือผลไม้ชนิดใดที่คิมซองกยูต้องนำมาไว้ในห้องนี้แยกกับตู้ปกติข้างนอก
“..ไม่มีทาง”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเพราะสิ่งตรงหน้า
อูฮยอนคลุมผ้าใบไว้อย่างเดิมและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ภายในสมองของเด็กอย่างอูฮยอนมีเพียงแต่ต้องบอกใครสักคนให้รับรู้เรื่องนี้
คุณคิมของเขาจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้.. หรือแท้จริงแล้วเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
เรื่องนี้มันมากเกินไปที่อูฮยอนจะรับรู้เพียงคนเดียว..
ไม่.. อูฮยอนไม่รู้อะไรทั้งนั้น
และใช่.. อูฮยอนต้องไม่รู้เรื่องนี้
“วันนี้ผมจะเข้าเมืองอยากได้อะไรหรือเปล่า
หรือจะไปด้วยกัน”
อูฮยอนกลับมาจากโถงใต้ดินและกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของคิมซองกยู
มือบางเคาะดินสอกับโต๊ะและในความคิดมีเพียงสิ่งที่ตนได้พบ
เด็กหนุ่มไม่อาจทราบได้ว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นความลับหรือเรื่องปกติของคนตรงหน้า
จะมีใครคนไหนรู้เรื่องนี้บ้างไหม ถึงไล่ความอยากรู้อยากเห็นออกไปมากเพียงใดแต่ก็ไม่สามารถหยุดคิดถึงสิ่งนี้ได้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“อยากได้หนังสืออ่านเล่นไหม?
หรืออะไรดี?”
“ไม่เป็นไรจริงๆครับคุณซองกยู”
“ผมไม่มั่นใจว่าจะกลับมาตอนไหนถ้าอยากกลับก่อนก็ได้นะ
ดูท่าฝนจะตกด้วยผมเป็นห่วง”
เด็กหนุ่มเผลอขยับตัวออกห่างเมื่อซองกยูเคลื่อนกายเข้ามาใกล้หวังฝังจมูกลงบนเรือนผม
อูฮยอนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถอยหนีปล่อยให้เขาได้ทำตามที่ต้องการเมื่อรู้สึกว่าตัวเองแปลกไป
ฝ่ามือนั้นที่อูฮยอนกำลังเสแสร้งใส่ตัวเองวางลงบนกลุ่มผมนุ่มและลูบศีรษะทุยด้วยความรู้สึกที่หนุ่มน้อยไม่อาจคาดเดา
สิ่งที่อูฮยอนคาดหวังในตอนนี้มีเพียงแต่คนรักของเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้
หากไม่เกี่ยวข้องเลยคงจะดี อูฮยอนมองตามอีกคนเสียจนเสียงฝีเท้าของเขาเลือนหายไป
ในหนังสือบันทึกเล่มนั้น..
มีเพียงวิธีที่เขาช่วยอูฮยอนทำไม่ใช่หรือ
ขาเล็กก้าวเข้าไปในห้องหนังสือที่ติดอยู่กับห้องทำงานของเขา
หนังสือทุกเล่มที่ปู่ของเขาเป็นคนค้นคว้าต้องผ่านตาอูฮยอนให้หมดก่อนที่เจ้าของบ้านจะกลับมา
แต่เล่มแล้วเล่มเล่าอูฮยอนไม่สามารถพบสิ่งที่เอามาเชื่อมโยงได้มากกว่าสิ่งที่รู้
พลันดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวลก็เจอบางสิ่ง
หนังสือบันทึกที่ไม่ใช่ของผู้นำตระกูลในรุ่นปู่ หากแต่เป็นของผู้นะตระกูลในรุ่นที่เก่าแก่กว่านั้น… ปู่ทวดของคิมซองกยู
ในราตรีเงียบสงัดนี้ไม่มีผู้ใดรับรู้ได้ว่าสีของท้องฟ้าเกรี้ยวกราดกว่าคืนใด
เสียงฟ้าผ่าลงกลางทุ่งกว้างนั้นไม่ได้เข้าโสตประสาทของอูฮยอนเลยสักนิด
มือเล็กปล่อยให้หนังสือบันทึกหุ้มหนังสีเข้มตกลงพื้นพรมก่อนจะล้วงสิ่งที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา
น้ำหอมที่เขาภูมิใจนักหนานั้นช่างมีเบื้องหลังที่น่ารังเกียจ อูฮยอนไม่อาจรอให้เขากลับมาได้เมื่อความไม่ไว้วางใจเริ่มครอบงำ
ความกลัวในสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เผชิญหน้าระเบิดออกมาเกินควบคุมแม้ในตอนแรกจะคิดว่าเอาอยู่
เพราะอูฮยอนมั่นใจในความรักของเขาที่มอบให้
แต่เด็กหนุ่มไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าจะเป็นหนึ่งในคนที่ได้มีโอกาสอยู่ในตู้ดองเองเหมือนสาวสวยพวกนั้นหรือไม่!
เสียงตึงตังของใครบางคนที่กำลังวิ่งลงบันไดจากชั้นสองมาทางประตูทำให้คิมซองกยูต้องมองตาม
เด็กน้อยในการปกครองของเขามีสีหน้าไม่ค่อยดีเมื่อเจอคนที่เพิ่งกลับมาแขวนเสื้อคลุมไว้ที่ชั้นแขวนใกล้กับประตู
เท้าเล็กหยุดเพียงแค่นั้นก่อนจะรู้สึกขนลุกไปทั้งร่างเมื่อเห็นว่าเขามองมา
ด้วยสายตาปกติอย่างที่อูฮยอนเห็นอยู่ทุกวัน
“ข้างนอกเหมือนฝนจะตกแล้วนะ
ค้างที่นี่ก็ได้อูฮยอน”
“งั้นผมยืมร่มคุณซองกยูอีกก็ได้
ป้าผมต้องเป็นห่วงแน่ขอตัวนะครับ”
เพราะพูดอย่างรวดเร็วคนอายุมากกว่าถึงได้รู้สึกถึงความประหลาด
กลิ่นอันเป็นที่รักของเขาก่อตัวเพิ่มขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นคิมซองกยูก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
อาจเพียงเพราะอย่างที่พูดมาจริงๆก็ได้..
“ไปเจออะไรมา”
หากเด็กหนุ่มบอกไปแล้ว เขาจะหัวเราะ หรือเขาจะทำหน้าอย่างไรถ้าเกิดเขาเกี่ยงข้อง
หรือถ้าเขาไม่เกี่ยวข้อง
อูฮยอนสับสนไปหมดและคิดอะไรไม่ออกรู้แค่เพียงต้องออกไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด
อยู่ให้ห่างจากคนตระกูลคิมเท่าที่จะทำได้ หรือรอจนกว่าเขาจะบอกกับอูฮยอนเอง… ถึงอย่างนั้นผลลัพธ์คงไม่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งมันอาจจะเปลี่ยนด้วยความหวังอันน้อยนิด ไร้ค่า
“ผมแค่กังวลว่าป้าจะรอผมกลับ
คุณซองกยูมีอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไร ผมแค่อยากอยู่กับอูฮยอนต่อ..
หรืออูฮยอนไม่อยาก”
“..อยากครับ แต่ไม่ใช่คืนนี้”
“รั้วใหญ่ปิดแล้ว.. และคืนนี้แหละดีที่สุด”
เพราะท่าทางของเขามันดูน่ากลัวไม่ใช่เพียงหว่านเสน่ห์อย่างเช่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้และจับข้อมือกันไว้อย่างแรง
อูฮยอนยิ้มเจื่อนและรอให้เขาปล่อยกันไป แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด
เขากำลังดึงให้เดินตามไปอีกที่ที่อูฮยอนกลัวว่าจะเป็นห้องนั้น เด็กหนุ่มชะงักเพราะเสียงครั่นครืนของฟ้าเรียกสติให้กลับคืนมา
อูฮยอนนั้นหวาดกลัวแต่ก็อยากรู้ เขาคงไม่ได้ตายในคืนนี้หรอก.. เหอะ ไม่รู้สิ
สับสนเป็นบ้า
“คุณซองกยู..”
“ว่าไงตัวเล็ก”
“ในตู้ดอง.. นอกจากแช่ดอกไม้แล้วเราเอามาแช่คนได้ด้วยเหรอครับ”
…..
คิมซองกยูนิ่งไปแต่เขาไม่ได้มีท่าทีที่ตกใจหรือตื่นกลัว
เขายังคงมองอูฮยอนอย่างที่เคยมอง
มือขาวซีดนั้นหยิบถุงมือหนังคู่โปรดออกมาก่อนสวมใส่
ดวงตาของเขายังแสร้งดูว่าทอดมองกันด้วยความรักใคร่แต่รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้านั้นช่างสวนทางกัน
ลมหายใจของเขาผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอแตกต่างจากอูฮยอนยิ่งนัก
และเมื่อได้ยินสิ่งที่ออกจากริมฝีปากของเขานั้นไหล่บางก็สั่นเทิ้มอย่างไม่เคยเป็น
“มันมีเอาไว้แก้ไข้ข้อผิดพลาดจากการทำน้ำหอมมนุษย์
เช่นแบบที่ผมเคยพาทำ
อาจจะคิดได้ว่ามันได้ผลแต่ไม่ใช่เลยอย่างที่บอกว่ามันมีข้อบกพร่องจุดใหญ่ๆ คนเราไม่สามารถทนอยู่กับสิ่งนั้นได้นานพอเหมือนการแช่ดอกไม้ไว้หลายวัน…
รู้ใช่ไหมว่ามันหมายถึงอะไร”
……….
“เด็กฉลาดอย่างเราเข้าใจอะไรง่ายๆอยู่แล้ว”
รวมทั้งเชื่อใครเขาง่ายเกินไปด้วย
“ศพพวกนั่นน่ะ.. พ่อผมทำ”
………
“ส่วนคุณ เป็นหน้าที่ของผม”
ยังมีอีกกลิ่นหนึ่งที่คิมซองกยูหลงใหลไม่แพ้กันกับกลิ่นของความบริสุทธิ์หรือกลิ่นของความรักความเสน่หา
เพียงแต่อยากจะกักเก็บไว้ภายใต้จิตใจเบื้องลึกของตนให้มันไม่มีวันได้ออกมาเผชิญสู่โลกภายนอก
เพราะความลึกลับซับซ้อนของมันช่างน่าลุ่มหลงเกินกว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้ แต่หากจะสรรสร้างกลับต้องถลำลึกลงไปในห้วงของบาปกรรมที่ไม่สามารถชดใช้อะไรให้แก่ผู้ใดได้
บาปที่เป็นมากกว่าความกล้าที่จะทำสิ่งชั่วช้า
บาปที่เป็นดั่งสิ่งท้าทายที่ในชีวิตนี้มีเพียงมนุษย์ไม่กี่คนกล้าทำมัน..
จากความรู้สึกที่อาจกลายเป็นปีศาจตนหนึ่งไปแล้วก็เป็นได้
กลิ่นแห่งความหวาดกลัว..
การดิ้นรนเพื่อให้ตนได้มีชีวิตอยู่รอด รวบรวมสติสัมปชัญญะเพื่อมองหาทางออก
เตรียมตัวและพละกำลังในเวลาเพียงน้อยนิดต่อสู้กับปีศาจร้าย..
สูบฉีดเลือดได้ดีกว่ากลิ่นอื่นเป็นไหนๆ
และกลิ่นของอูฮยอนก็ปลุกมันขึ้นมาจนได้
"เสียงหัวใจเต้นดังไม่ใช่เล่น
แบบไหนกันนะ.."
มือสวยทั้งสองข้างตบเข้าหากันเป็นจังหวะ
อ่อนแอเหลือเกินที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้นแล้วหัวใจเต้นระรัวตามจังหวะที่เขาตบมือ
อูฮยอนกลัวจนตัวสั่นและโมโหเพราะทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้นนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบ
มือบางปิดปากเอาไว้ก่อนจะพยายามควบคุมลมหายใจ ดวงตาคู่สวยเอ่อล้นไปทั้งน้ำตา
“ผมชอบคุณจริงๆ
แต่สิ่งที่ผมต้องการคือสิ่งนี้ คุณจะให้ผม..”
เพี๊ยะ!
อูฮยอนทำมันลงไปแล้ว ความชากัดกินไปทั้งฝ่ามือบางอันสั่นเทา
ใบหน้าหล่อเหลาหันไปตามแรงจากการกระทำของร่างเล็ก เด็กหนุ่มนั้นหมดสิ้นแล้วกับความหวังที่มีต่อเขา
หากเพียงไม่ใยดีกันอูฮยอนพอรับได้และยินดีที่จะไม่อยู่ให้ขวางหูขวางตาเขา สิ่งนี้.. สิ่งที่เขาต้องการช่างเห็นแก่ตัว
แม้จะรักเขาแต่มันไม่ใช่ตัวตนของอูฮยอนแม้แต่น้อยที่ยอมสละชีวิตเพื่อเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้..
ช่างอำพรางกับดักนัก
หากจะถามว่าเขาจะทำอะไรก็ช่างเป็นคำถามที่แสนโง่เง่า
ตู้กระจกตู้อื่นในห้องนั้นก็คงไม่ต่างกันนัก
ร่างของคนที่เขาต้องการมีเพียงกายที่ใช้แช่น้ำยาทำน้ำหอม
ดองศพแทนที่จะเป็นการแช่ดอกไม้เป็นหมื่นเป็นแสนดอก แต่หากจะตาย อูฮยอนยินดีกว่าถ้าต้องโดนปิดปากด้วยข้อหาที่รู้เรื่องของตระกูลคิมมากเกินไป
สำหรับซองกยู
ความอันตรายนี่แหละคือสิ่งที่หวานล้ำเกินต้านทาน
"ถ้ากลัวก็วิ่งหนีไป.. อย่าเงียบแล้วตัวสั่นอยู่อย่างนี้
ผมให้โอกาสแล้วนะ"
เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายไม่รู้อะไรเลยว่าคืนนี้ต้องพบเจออะไรบ้าง
เจ้านายที่ตนหลงรักกลับกลายเป็นใครอีกคนที่อูฮยอนไม่รู้จัก
ฝันร้ายยามหลับใหลหลอกหลอนแม้ยามตื่น หัวใจดวงน้อยที่เคยเต้นแรงกลับแทบหยุดค้างไว้
ณ เวลาที่เขากระซิบริมใบหู มีเพียงความเย็นเยียบของถุงมือหนังสีดำแตะเข้าลำคอ
คิมซองกยูพร้อมแล้ว..
"น่าเสียดายที่คืนนี้ไม่มีใครอยู่กะดึก
ผมว่าวิ่งหนีไปให้ไกลเท่าที่จะทำได้น่าจะดีกว่า วิ่งจนกว่าจะหมดแรง หรือไม่ก็..
ผมหาคุณเจอ"
ร่างเล็กถูกสั่งกลายๆให้หันออกไปจากประตูบานใหญ่ ใบหน้าทั้งสองแนบชิดกันโดยที่ซองกยูจับไหล่เล็กเอาไว้แน่นหนา
แก้มเนียนสัมผัสกับไรหนวดสากระคายของเขา อูฮยอนช่างโง่เง่าเหลือเกินและเขาเองก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน
มีอย่างที่ไหน.. กำลังจะโดนฆ่าแท้ๆ
ทำไมถึงได้ยืนนิ่งหากเขาจะปาดคออูฮยอนตอนนี้ก็ทำได้ทั้งนั้น กลิ่นที่บ่งบอกถึงความกล้าหาญ
ทะเยอทะยานกำลังต่อต้านกลิ่นที่เขาโปรนปราน
คิมซองกยูเกลียดนักโดยเฉพาะหากความหวาดกลัวนั้นเลือนหายไปโดยมีเขาเป็นปีศาจตนนั้นอยู่ตรงหน้าของเหยื่อ
"วิ่งออกไปสิ"
"คุณอยากให้ผมต.."
"ก็บอกให้วิ่งไงนัมอูฮยอน!!!"
ราวกับพระเจ้ายังไม่อยากให้มนุษย์ตัวน้อยจบชีวิตลงง่ายๆถึงได้ทำแบบนี้
หยดน้ำจากฟ้าเริ่มโปรยปรายและแรงขึ้นในเวลาต่อมา
ขาเรียววิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อไปยังประตูทางออกด้านหน้า
ดวงตาที่เคยสดใสกลับเต็มไปด้วยสัญชาติญาณเอาตัวรอดและยากแม้ฝนจะตกหนักเพียงใดแต่ก็ดูออกว่าน้ำที่เกาะพราวใบหน้าใสนั้นปะปนไปด้วยน้ำตา
ความเสียใจจากทุกสิ่งที่เคลือบแคลงเผยคำตอบที่อูฮยอนรับมันไม่ได้ เศร้าโศก สงสาร
เด็กหนุ่มไม่สามารถบอกความรู้สึกออกมาได้ว่าเป็นอย่างไร ตระกูลคิมฆ่าคนเพื่อสิ่งที่พวกเขาต้องการ!
กลิ่นดินรุนแรงรบกวนนาสิกประสาทเสียจนคิมซองกยูปวดหัว
สิ่งที่ทำให้ตามหาตัวเด็กคนนั้นค่อยๆจางลงไป แต่ยังไง..
อูฮยอนก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้
เพราะรั้วไฟฟ้านั่นเล่นเอาตายไปหลายศพแล้ว!
บ้าไปแล้วแน่ๆ
อูฮยอนบ้าจี้ตามเขาวิ่งออกมาทำไมกันนะ..
"ต้องมีสักอย่างให้ปีนข้ามสิ!"
วิ่งมาไกลแค่ไหนก็ต้องยอมแพ้กับสิ่งตรงหน้า
มันอันตรายเกินกว่าจะเข้าไปใกล้เพราะฝนที่สาดเทลงมาอย่างต่อเนื่อง
แสงสีฟ้าออกมาจากลวดอยู่เป็นระยะทำให้มองเท่าไรก็รู้สึกหมดหนทาง
รั้วที่เขาเอาไว้กั้นคนมาลักลอบนี่คงเป็นผลพลอยได้
กักขังคนที่เขาต้องการต่างหากจุดประสงค์ที่แท้จริง!
แสงแปลบปลาบเข้าตาตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าดังน่ากลัวจนอูฮยอนต้องมองหาทางอื่นต่อไป
เด็กหนุ่มตัดสินใจวิ่งกลับไปทางเดิม โดยตั้งใจว่าหากออกไปไม่ได้ก็ต้องซ่อนตัว
สวนดอกไม้กว้างใหญ่มากพอที่จะถ่วงเวลาผ่านพ้นคืนนี้ไปแม้กายหนาวเหน็บแต่ยังไง..
ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้
ความหลงใหลในน้ำหอมนี่ช่างน่ากลัว
เมื่อโตมาเขาก็เหมือนกับพ่อของเขาไม่มีผิด เกมนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เริ่มต้น
ยังไม่เคยมีสถิติผู้เล่นคนใดผ่านด่านสุดท้ายไปได้ กับดัก กลลวง สายฝน เรี่ยวแรง
สิ่งจำกัดความเป็นความตายที่ใช้ได้ผลทุกครั้ง ข้อมือแข็งแรงหมุนบิดไปมาเพื่อคลายความเหนื่อยล้า
สัมผัสชื้นจากหยดน้ำกระเซ็นเข้าตัวบ้านอย่างบ้าคลั่ง รองเท้าหนังสีเข้มเปียกแฉะและเจ้าของไม่ได้สนใจว่ามันจะพังหรือมีสภาพอย่างไร
ขายาวก้าวตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ สายฝนโหมกระหน่ำ.. เป็นเพียงสายลมธรรมดาในหน้าหนาวสำหรับเขา
ประภาคารทำงานตามปกติในเวลานี้ช่วยส่องแสงให้อูฮยอนมองเห็นเป็นระยะอยู่บ้าง
เท้าเล็กย่ำพื้นโคลนไปเรื่อยๆและหวังว่าเขาจะตามมาไม่ได้
รองเท้าคู่ใจขาดชำรุดเมื่อตอนหกล้มจึงได้แต่กอดมันไว้ต่างมิตร
กายสั่นเทาเพราะความเย็นของน้ำและอากาศเสียจนอยากล้มตัวลงให้ดินเลนปกคลุมกาย จมลึก
และดำดิ่งลงไปให้มีระยะห่างจากคำว่าความจริงให้มากที่สุด
ใบหน้าหวานหันกลับไปมองต้นทางแล้วถอนหายใจเพราะตนยังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ มือบางกำขวดน้ำหอมไว้แน่นเสียจนอยากให้มันแหลกละเอียดคามือ
เด็กหนุ่มเทของเหลวภายในจนหมดเช่นเดียวกับความรู้สึกที่สูญสิ้น แต่ละย่างก้าวช่างยากเย็นแปรผันกับความร้อนรุ่มในใจที่เต็มไปด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด
กลิ่นคุ้นเคยนำทางคิมซองกยูเยื้องย่างตามไปอย่างไม่รีบร้อน
หน่วยตาเรียวมองขึ้นไปบนประภาคารสูงและเห็นลำแสงทอดยาวออกไป.. เช่นทุกที
บนเส้นทางที่คิมซองกยูล้วงล้ำเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาในวัยสิบสามปีเปรียบเสมือนดวงตากำลังปรับตัวให้คุ้นชินกับโลกอันดำมืด
เขาคลำทางและมีเพียงกลิ่นนำพาไปตลอดทาง บ้างก็เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา อ่อนหวาน
ร้อนแรง เรียบหรู แต่คนแล้วคนเล่าล้วนต่างไม่เป็นที่น่าพอใจ
อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดปรุงแต่งอย่างไรก็ไร้รสนิยมเสีย แต่เด็กคนนี้
คนที่มีกลิ่นนั้นได้เรียกอีกคนจากเงาของเขาให้ออกมาทำความรู้จักกันเพื่อช่วงชิงสิ่งล้ำค่าที่เด็กหนุ่มได้รับการส่งต่อ
โชคร้ายเหลือเกินที่รัก..
ตาคมเหลือบมองขวดแก้วใบเล็กที่ตกอยู่บนพื้นก่อนจะหยิบมันขึ้นมาและพบว่าภายในไม่เหลือของเหลวเพียงสักหยด
เขาปล่อยมันลงที่เดิมและพบกับรอยเท้าเล็กที่เริ่มกลืนหายเป็นเนื้อเดียวกับโคลนตม รองเท้าหนังราคาแพงย่ำลงไปที่รอยเท้านั้นตามทิศทางที่มันพาเขาเดินลึกเข้าไปในพื้นที่กว้างใหญ่
อูฮยอนทราบว่ายิ่งลึกเข้าไปเท่าไหร่ อาจจะหลบเร้นได้
แต่ยังเร็วเกินไปที่จะตบตาเขาเพราะสิ่งนั้น.. เพราะสิ่งที่ติดตัวอูฮยอนมาตั้งแต่เกิดทำให้เขาพบเจอได้ง่ายกว่าใคร
แสงจากประภาคารวนลอยข้ามศีรษะอยู่เป็นระยะและทำให้เด็กหนุ่มพบเห็นร่างของใครบางคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล..
เท้าเล็กเร่งความเร็วเพื่อออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…
สายฟ้าร้องคำรามดุดันเผยตัวตนของคนเป็นนายให้อีกคนได้เกรงกลัว…
ทั้งความผิดหวังและขยะแขยงเป็นสิ่งผลักดันให้ร่างบางต่อสู้…
ด้วยความเร็วที่ไม่อาจคาดเดาทำให้นกน้อยที่คิดต่อกรหวั่นใจ…
อูฮยอนพ้นสายตาของเขาได้อีกครั้งเนื่องจากจังหวะที่แสงจากประภาคารนั้นหันไปอีกทาง
ร่างเล็กก้มตัวลงเพื่อไม่ให้เขาเห็นและยังคงเคลื่อนไหวด้วยความหวังว่าจะต้องมีสักทางที่ทำให้หลบหลีกเรื่องนี้เสียให้พ้น…
แต่ถ้าหากจำได้ว่า
อูฮยอนนั้นสูญสิ้นแล้ว..
ความเย็นเยียบของถุงมือหนังแนบเข้าที่ใบหน้าหวานอย่างจงใจนั้นทำให้หนุ่มน้อยสะดุ้งตัวโยน
กายเล็กทั้งดึงรั้งและดิ้นรนด้วยความอยากอยู่รอด
แต่แรงของชายหนุ่มนั้นมากมายเกินจะสู้ไหว เสียงทุ่มต่ำข้างใบหูนั้นเอ่ยสิ่งหนึ่งออกมาทั้งที่เขารู้ดีว่าเสียงของเขาอาจจะโดนสายฝนกลบเสียหมด
แต่นั่นกลับเป็นการตอกย้ำว่าเขานั้นยังรู้อะไรเกี่ยวกับอูฮยอนอีกมากมาย
เรื่องราวที่อูฮยอนเองก็ไม่อาจมีโอกาสได้รับรู้
“อยู่ตรงนี้เอง”
“นัม ..อูฮยอน”
…Scent Of The Boy…
กลิ่นหอมยิ่งกว่ามวลผกาพันธุ์ไหนจากห้องใต้ดินของบ้านนำพาให้ดวงตาเรียวของเด็กวัยสิบสามปีมองเห็นภาพที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อน
ผู้นำตระกูลคิมคนก่อนนำร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนที่แท่นไม้ใหญ่
น้ำยาพิเศษตกทอดมารุ่นสู่รุ่นที่คิมซองกยูไม่รู้ว่าใช่ทำอะไรถูกอาบลงไปบนร่างกายเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
ซองกยูไม่ได้สนใจกายเปลือยเปล่านั้นมากกว่าสิ่งที่พ่อกำลังทำ
เขาไม่ใช้แผ่นไม้รีดตามร่างกายเธออย่างที่ควรจะเป็นแต่กลับใช้อุปกรณ์ยกเธอขึ้น
น้ำยาถูกเตรียมไว้เต็มตู้กระจกมากกว่าใช้แช่ดอกไม้เพื่อทำน้ำหอมตามปกติ
ร่างบางค่อยๆจมลงในน้ำนั้นจนท่วมทั้งหมด
ซองกยูเริ่มเข้าใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของเธอชัดเจน
เธอคือแม่บ้านที่มาทำงานได้ไม่นานพร้อมกับสามีที่เป็นคนสวน
กลิ่นกายของเธอหอมและล้ำลึกเกินกว่าเด็กไร้ประสบการณ์อย่างซองกยูจะตีความ
หลังจากนั้นหนึ่งเดือนเธอตั้งครรภ์กับสามี
ลูกชายคนเดียวของผู้นำตระกูลได้มีโอกาสฟังชื่อของเด็กน้อยคนนั้นเพียงครั้งเดียวและไม่ได้มีโอกาสพูดถึงอีก
ซองกยูจำไม่ได้ว่าตั้งแต่เดือนไหนที่เธอและสามีของเธอเริ่มเปลี่ยนไป
กลิ่นที่ซองกยูชอบนั้นเริ่มมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
เธอกังวลจากการคุกคามของอะไรสักอย่างและผลัดเวรทำความสะอาดเวลาที่พ่อเขาอยู่
ตำราเก่าแก่ที่เขียนโดยปู่ทวดของซองกยูที่เขาไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงทำให้เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า
ก็ได้แต่เงียบและมองเขาทำต่อไป เธออยู่ที่นี่สามีของเธอคนโดนปิดปากไปแล้ว
ดวงตาเรียวยาวเคลื่อนมองหน้าท้องที่ควรจะโตมากกว่านี้แล้วก็เก็บความสงสัยเอาไว้
เวลานี้เข้าเดือนที่แปดของเธอ..
แล้วเด็กคนนั้น..
ลูกของเธอหายไป..
ภาพที่เห็นตรงหน้าพร่ามัวจนเสียรู้สึกเวียนหัว เด็กหนุ่มรู้สึกถึงเปลือกตาที่หนักอึ้งอย่างไม่เคยเป็นและนั่นทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้ง
แต่เสียงที่รับรู้ทางโสตประสาทกลับแจ่มชัดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดที่กำลังหลอกล่อให้หลงทาง
เสียงเพรียกหาของเขาดั่งแสงสว่างอยู่ไม่ไกล
เดินตามเขาไปและถูกฉุดรั้งให้ออกจากความหนาวเหน็บ ก่อนจะพบว่าแท้จริงแล้ว.. ที่นี่คือนรก
"เธอสวยมากเลยใช่ไหม"
รู้สึกได้ถึงนิ้วของเขาที่แตะต้องบนใบหน้าแม้รังเกียจก็ไม่สามารถปัดป้องได้
ลูกแก้วสีน้ำตาลเข้มไร้จุดวางสายตาและไม่อาจบังคับมันได้
มีเพียงร่างของใครสักคนในตู้ดองเหมือนกับคนอื่นที่อูฮยอนเคยเห็น
แต่สถานที่นี้มันแปลกไป แตกต่าง ไม่คุ้นเคย
“แม่บ้านนัม.. เธอเป็นแม่ของอูฮยอนนะ”
ร่างเล็กบนเก้าอี้สั่นเทาไปทั้งร่างเพราะความหนาวเย็นรวมทั้งพยายามขัดขืนสัมผัสของคนเป็นนายที่ทำเหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเพียงการเล่นสนุก
คิมซองกยูส่งเสียงขัดใจออกมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นเพราะกลัวกว่ากลีบดอกไม้งามจะช้ำเอา
ช่างน่าสงสาร
แม้แต่แม่ตัวเองก็ยังไม่มีเรี่ยวแรงจะมองดู ยาสลบครั้งนี้แรงเกินไปหน่อยกระมัง..
“พ่อผม.. คุณได้ดอง
ไว้หรือเปล่..”
“ในการทำน้ำหอมน่ะนะ
แต่ละส่วนของดอกไม้ พืชพรรณ ผลไม้ เครื่องเทศ ให้กลิ่นที่แตกต่างกัน กลิ่นจากกลีบ
จากใบ จากราก แต่นั่นไม่เหมือนกับคนเราหรอกนะ เราน่ะ.. ใช้ได้ทั้งตัวเอง
น่าทึ่งใช่ไหมอูฮยอน! ทั้งคุณและแม่ได้สิทธิพิเศษใช้ห้องโถงใต้ดินของประภาคารเลยนะ
เรื่องนี้เป็นความลับเราแค่ได้ไหม”
หัวเราะบ้าอะไร คุณทำอย่างนี้กับคนที่โชคร้ายทุกคนเลยหรือ
“ตอบผมมา..”
“แน่นอนว่าตายไปแล้ว
ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากเขาเลยด้วย”
แม้จะไม่มีแรงแล้วก็ตามแต่ดวงตาคู่สวยนั้นกลับสั่นเครือ
มันร้อนจนกักเก็บหยาดน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทั้งโกรธ ทั้งคับแค้น ทั้งเจ็บใจ
ขอแค่มองหน้าแม่สักนิดก็ยังดี แต่ตาของตนนั้นเหนื่อยล้าเหลือเกิน สกุลนัมที่เขาพูดออกมานั่นคือสกุลของเขาจริงหรือ
หากว่าจริง..
เรื่องนี้มากกว่าที่อูฮยอนรู้มากเกินไป มันมากเกินไปโดยแท้จริง
“แต่น่าเสียดายที่ร่างของแม่บ้านนัมไม่สำเร็จนะครับ..
รอยแผลของเธอเต็มตัวไปหมด กลิ่นเสียคุณภาพไปมาก แต่อูฮยอนจะสมบูรณ์แบบ ผมคิดว่านะ.."
……….
“นี่.. ถ้าไม่มีแรงจะมองคุณแม่ล่ะก็..
ให้ผมช่วยดีไหม?”
ดวงตาคู่คมไล่มองตามแสงทองของรุ่งอรุณที่สาดส่องไปทั่วผืนฟ้า
แสงที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ว่าทุกชีวิตกำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
แสงที่ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายยามราตรีให้พ้นไป
แต่กลับกันแสงนั้นตอกย้ำว่าชีวิตของนัมอูฮยอนจบสิ้นลงด้วยน้ำมือเขา ริมฝีปากบางจุมพิตลงหลังมือเล็กที่เนื้อหนังยังคงเหลือไออุ่น
ใบหน้าหวานนัยน์ตาเบิกโพล่งด้วยความกลัวสุดขีดนั้นทำให้เขาต้องลูบปิดมันเอาไว้
สายตาไม่มีวี่แววของความรู้สึกแต่กลับมีน้ำไหลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
มันไม่ใช่ครั้งแรกของเขาที่จะฆ่าใครสักคนเพื่อทำในสิ่งที่ตนรัก จะว่าอย่างไรดี..
ไร้ซึ่งความสุข..
ไร้ซึ่งความเศร้า...
แม้เขาจะหลั่งน้ำตาให้สิ่งที่พลาดพลั้งแต่กลับไม่รู้สึกเสียใจเท่าที่ควร
เสียสิ่งที่ตนรักเพื่อนสิ่งที่ตนรัก ราวกับร่างกายไม่เป็นตัวของตัวเอง ใครคนหนึ่งที่อยู่ในตัวเขาหัวเราะเยาะกลั่นแกล้ง
ขมับปวดร้าวจนเขาต้องส่งเสียงออกมาและกุมศีรษะเอาไว้ก่อนจะนิ่งไปแล้วคุยกับคนนั้น..
ที่เฝ้ามองทุกอย่าง แอบบงการทุกอย่างอยู่เงียบเชียบและไร้เงา
"พ่อครับ.."
"พ่อไม่ควรทำให้คุณน้ามีแผลไปทั้งตัวแบบนั้นเลย
ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องทำกับอูฮยอนอย่างนี้"
เลือดฝาดสุดท้ายยังคงหล่อเลี้ยงร่างกายไร้ลมหายใจอยู่เท่าที่จะทำได้
ฝ่ามือเปื้อนดินโคลนลูบแก้มเนียนใสแผ่วเบา
รอยยิ้มของเขาช่างไร้ความหมายเมื่อไม่มีคนแสดงท่าทีเขินอายยามที่เห็นมัน
สัมผัสที่ปลายนิ้วช่างแตกต่างจนน่าสะอิดสะเอียนเหลือเกินเมื่อเทียบกับตอนที่เด็กหนุ่มคนนี้มีชีวิตอยู่
จมูกโด่งสูดดมผิวเย็นที่แก้มใสแล้วประทับจูบลงไปเบาบางนักเพื่อล่ำลา
เด็กคนนี้หอมหวานยิ่งกว่าแม่ของเขาเสียอีก
"แต่เธอฆ่าตัวตายตอนที่พ่อบีบคอเธอ..
เข้มแข็งชะมัด"
"อูฮยอนแค่หมดอากาศหายใจไร้รอยบุบสลาย
ผลงานชิ้นเอกของผม.. พ่อคิดว่าผมทำได้ใช่ไหมครับ"
พ่อเชื่อในตัวเราเสมอ
ดวงตาเลื่อนลอยมองหาสิ่งคนเป็นพ่อเคยทิ้งเอาไว้ที่ชั้นบนสุดของประภาคาร
ปืนของพ่อเขาที่แม่ของอูฮยอนหยิบฉวยแล้วปลิดชีพตัวเองต่อหน้าต่อตา
เหตุการณ์ครั้งนั้นแม้จะยังเด็กแต่คิมซองกยูก็เข้าใจทุกอย่าง
พ่อเขาทำอะไรกับผู้หญิงที่มีกลิ่นอย่างที่พ่อเขาตามหามาเนิ่นนาน..
เพื่อสิ่งที่เขาภาคภูมิใจยิ่งเสียกว่าศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
และแล้วลูกไม้ก็หล่นไม่ไกลต้น
ทั้งคิมซองกยู และ นัมอูฮยอน
สิบเจ็ดปีที่เขาไม่ตามหาเพราะกลัวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
แต่แล้วนัมอูฮยอนก็ก้าวเข้ามาในเขตบริเวณของเขา ที่ซึ่งเขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอ
และเหตุการณ์ระหว่างเราทั้งคู่มันเลยเถิด ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว
บางสิ่งบางอย่างในตัวเขาเปลี่ยนไปและคิดว่าควบคุมได้
เขาคนนั้นที่ยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวเขา.. และเพราะเขามันอ่อนแอ
สิ่งนั้นที่เขาจับมันอย่างมั่นคง
นิ้วเรียวปลดเซฟตี้ออกและหวังไม่ให้มันด้าน
ขอบคุณความสะเพร่าของบิดาที่ทิ้งมันไว้ที่นี่ แววตาเรียวไร้ความรู้สึกมองร่างเด็กหนุ่มที่หนุนตักเขาอยู่และเขารู้สึกว่าอูฮยอนก็เหมือนเพียงหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า
เขาส่งเสียงแผ่วเบาในลำคอก่อนนิ้วชี้นั้นจะแตะต้องเข้าที่ไกอย่างไม่ลังเล
นรกยังไม่ต้องการตัวแก
ทำเรื่องนี้ให้มันจบซะ!
“จบแล้วพ่อ มันจบแล้ว..”
เจอคุณแม่กับคุณพ่อหรือยังเด็กน้อยของพี่… รอรับพี่ด้วยนะ
แกมันบ้า!
“หึ.. ใช่สิผมมันบ้า”
และ.. อูฮยอนจะต้องเข้าใจ
T h e E n d
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น