ดวงตาคมมองทอดไปยังถนนดินตรงหน้าแล้วได้แต่ถอนหายใจกับฝุ่นที่เกาะกระจกรถเยอะจนแทบมองทางไม่เห็น
ละอองฝุ่นเล็กใหญ่สีน้ำตาลฟุ้งไปทั่วจนทำให้รู้สึกว่าอากาศข้างนอกตัวรถนั้นแห้งและร้อนแค่ไหนเพียงได้มอง
นอกจากเสียงเพลงจากเทปเก่าของพ่อแล้ว ยังมีเสียงที่ปัดน้ำฝนที่กำลังล้างกระจกเป็นเพื่อนให้คนที่กำลังขับรถเพียงคนเดียวในเวลาบ่ายแก่ซึ่งเป็นเวลาที่เขากลับจากส่งของในเมือง
เสียงทุ้มต่ำเริ่มร้องเพลงตามเทปเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งยังเป็นเด็กทุกทีที่พ่อเขาเปิดระหว่างเดินทาง
กระป๋องบรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถูกยกขึ้นจิบเป็นพัก
ๆ เพราะความเหนื่อยล้าจึงทำให้อยากได้อะไรที่ทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง เขาเข้าใจว่ามันอันตรายทุกคนก็ห้ามแล้วห้ามอีกแต่มันหักดิบไม่ได้
เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่แตะแต่ขาดเบียร์แล้วเหมือนขาดใจยิ่งกว่าการไม่มีคนรักเคียงข้างเสียอีก
เอาล่ะ คิมซองกยู
รู้ว่าไม่ขาดใจแต่ตับไตพังแน่นอนถึงได้พยายามลดอยู่นี่ไง
...Backpacker...
แขนเล็กเหนื่อยอ่อนจากการยื่นค้างเป็นเวลานาน
นิ้วโป้งนั้นก็ยกแทบไม่ขึ้นสมกับเวลารอคอยหลังจากโดนปล่อยทิ้งไว้จากรถบรรทุกคันนั้นที่ผ่านไปนางถึงสามชั่วโมง
รถที่ขับผ่านมาล้วนกลัวว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นมิจฉาชีพหรือมากับแก็งชายฉกรรจ์เพื่อปล้นทรัพย์
แต่สามชั่วโมงนี้มีแค่รถสองคันที่ผ่านมาและผ่านไปอย่างไม่ใยดี อากาศร้อนและแสงแดดที่แรงกว่าทุกฤดูร้อนที่เขาเคยพบกำลังทำให้รู้สึกเหมือนจะเป็นลมตายเอาได้
รถที่โบกได้ครั้งแรกเมื่อเขารู้ว่าคนที่รับขึ้นรถมาด้วยคนนี้ไม่มีเงินเลยทิ้ง
นัมอูฮยอน ต้นไม้แก่ ๆ กับป้ายบอกทางไปหมูบ้านเก่า ๆ ที่ห่างจากในเมืองประมาณเกือบยี่สิบกิโลได้แบบนี้น่ะสิ
เงินโทรศัพท์หมดว่าซวยแล้วแต่แบตหมดไม่ทันได้อัพรูปมีแบ็คกราวด์เป็นทุ่งดอกหญ้าพร้อมแคปชั่นชิค
ๆ เลยสักนิด
ตาเรียวเพ่งมองทางข้างหน้าเมื่อเห็นร่างของคน
ๆ หนึ่งใต้ต้นไม้ก่อนถึงแยกที่จะเลี้ยวเข้าหมู่บ้านของเขา เด็กหนุ่มตัวเล็กกับกระเป๋าสะพายใบโตกำลังยื่นแขนออกมาเพื่อโบกรถ
ฝุ่นดินยังคงเยอะเหมือนเคยแต่กลับเห็นรอยยิ้มดีใจของเขาคนนั้น
อย่างน้อยถ้าเป็นคนที่เดือดร้อนจริงซองกยูก็พร้อมจะช่วยเหลือ เขามองรอบ ๆ
เพื่อให้แน่ใจว่านี่จะไม่ใช่แผนอะไรของมิจฉาชีพ
ถึงแม้ที่นี่มันจะโคตรกันดารก็เถอะ
มุมปากอิ่มยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นรถกระบะคันหนึ่งกำลังจะแล่นผ่านมา
แขนที่อ่อนแรงกลับยกค้างไว้ได้ต่อและส่งรอยยิ้มดีใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นเจ้าของรถค่อย
ๆ ชะลอรถและจอดรับเมื่อถามความต้องการเสร็จสรรพ
อูฮยอนมองชายใจดีวัยประมาณสามสิบข้างกายก่อนเหลือบมองกระป๋องที่วางอยู่ใกล้เกียร์กระปุก
เข้าใจนะว่าเลือกไม่ได้แต่เหม็นเบียร์จากเขาจังเลย..
“แล้วทำไมมาอยู่แถวนี้ล่ะ”
“เงินหมด เลยโดนทิ้งไว้ ตั้งแต่เมื่อวาน”
“ไม่ใช่มิจฉาชีพแน่นะ”
“ไม่ไว้ใจก็ไม่ต้องจอดสิพี่ชาย”
คิมซองกยูมองเด็กหนุ่มที่อายุไม่น่าจะถึงยี่สิบดีนักหยิบสมุดในกระเป๋าขึ้นมาจนบันทึกอะไรสักอย่างแล้วเงยหน้ามาพูดกับเขาอีกครั้ง
“แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแหละคุณรับผมขึ้นมาแล้ว”
“ห้ะ!?”
“ล้อเล่นครับ ก่อนหน้านี้มีคนพูดแบบนี้กับผมประมาณสามคนได้”
เขาพยักหน้าก่อนจะเคลื่อนตัวรถแล้ววนรถกลับทางเดิมที่มาจากตัวเมือง
ซองกยูถามจนได้ความว่าเพราะแบตเตอร์รี่โทรศัพท์เจ้าตัวหมดทั้งแต่เมื่อวานเลยไม่สามารถติดต่อใครได้นานแล้ว
และเพราะทราบดีว่าเด็กคนนี้ไม่มีเงินสักแดงเลยคิดเอาเองว่าเขาก็ยังไม่น่าจะได้ทานอะไร
จนกระทั่งคนที่ขอความช่วยเหลือหันมายิ้มแห้ง ๆ ใส่เมื่อเกิดเสียงท้องร้องขึ้นมา
“อะ.. ข้าวเที่ยงผมเอง
แต่คุณเอาไปกินเถอะ”
มือเล็กรับขนมปังสีเข้มมา มันแข็ง
แต่ก็เลือกไม่ได้เลยต้องทานเพื่อให้อยู่รอดทั้งที่รู้ว่ามันคงไม่ช่วยอะไรนัก
สัมผัสมันก็แข็งจริงอยากที่นึกเอาไว้ แต่กลิ่นหอมของข้าวสักชนิดที่อยู่ในปากก็ทำให้อดนึกข้าวสวยดี
ๆ ไม่ได้ เพราะอะไรอย่างนั้น รวมถึงความเหนื่อยล้า
และความกลัวที่มีก่อนหน้าทั้งหมด “คุณ! ร้องไห้ทำไม”
“ผมคิดถึงบ้าน ฮึก ก็ขนมปังคุณอะ..
ขนมปังคุณ”
“ไว้เดี๋ยวเข้าเมืองแล้วจะให้เงินไปกินข้าวด้วย
โอเคไหม”
“ฮึก คุณไปส่งผมในเมืองก็พอ
ผมน่าจะหาที่กดเงินได้” เขามองคนที่กำลังเช็ดน้ำตาลวก ๆ “แล้วแต่นะ”
อ้อมแขนเล็กของเด็กหนุ่มโอบกอดกระเป๋าเอาไว้แนบอก
ศีรษะกลมหันมองออกไปข้างทางที่เต็มไปด้วยหญ้าแห้ง ๆ อย่างที่เห็นอยู่ตลอด พวกเขาปล่อยให้บทสนทนาหยุดลงตรงนั้นและมีเพียงเสียงเพลงที่เจ้าของรถหน้าดุใจดีลดเสียงมันลง
เปลือกตาสีอ่อนของนัมอูฮยอนเริ่มหนักอึ้ง
ลมร้อนปะทะเข้าข้างแก้มเพราะกระจกรถที่ควรจะมีได้หายไป เสียงท้องร้องหายไป
และถึงจะใกล้หลับเต็มทีเขาก็ยังสัมผัสทุกอย่างได้ แต่เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
เขาไม่รู้สึกถึงลมหายใจ
ที่เข้าออกของตัวเอง
“ตื่นได้แล้วคุณ ถึงแล้ว”
คิมซองกยูปลุกคนตัวเล็กที่หนุนกระเป๋าต่างหมอนก่อนจะเดินลงจากรถเพื่อไปปลุกอีกฝั่ง
เมื่อเปิดระตูก็เจอคนกำลังงัวเงีย ใบหน้านั้นยังคงซีดเซียวไม่ต่างจากตอนแรกเท่าไรนักแต่อย่างน้อยถ้าจบเรื่องนี้อะไร
ๆ ก็คงดีขึ้น เขาจอดรถในที่ที่มีตู้กดเงินสดของทุกธนาคารเพื่อให้อีกฝ่ายสะดวก คน ๆ
นั้นโค้งให้ซองกยูครั้งแล้วครั้งเล่า
“หลังคุณเปื้อนอะไรน่ะ” เขาทักเมื่อเด็กคนนั้นเริ่มเดินห่างออกไป
แต่เขาก็ไม่ทันเห็นว่าเป็นรอยอะไรกันแน่และเพราะแสงของวันก็กำลังจะหมดอยู่รอมร่อ
“อ๋อ คราบโคลนมั้งครับ..”
“อ้อ.. งั้นผมไปก่อนนะ
เดี๋ยวจะค่ำเอา โชคดีนะคุณ” เขาเสริมอีก “อย่าไปหลงที่ไหนอีกล่ะ”
“หายไปไหนแล้ววะ!”
คิมซองกยูคิดว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า
เขากลับไปที่รถแล้วพบว่าบนเบาะหนังเก่า ๆ ที่เป็นตำแหน่งข้างคนขับมีของรอยอะไรสักอย่างเปื้อนอยู่
แต่กลิ่นคาวนั่นก็ทำให้รู้ได้ว่ามันคือสิ่งใด
ที่แปลกคือมันแห้งกรังและทำให้เขานึกถึงรอยที่เห็นเพียงเสี้ยววิที่เสื้อของเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งช่วยเหลือโดยการกลับมาส่งในเมือง
เขาวิ่งกลับมาทางเดิมเผื่อว่าเด็กคนนั้นจะยังไปไม่ไกล
แต่บริเวณนั้นกลับไม่มีวี่แววว่าจะเจอกระทั่งเขาไปที่ท่ารถ ถามใครต่อใครก็ไม่มีใครเห็นเด็กหนุ่มเลยสักคน
ถ้าบาดเจ็บก็น่าจะบอกกันก่อน
ชายหนุ่มกำพวงมาลัยแน่นและรู้สึกหัวเสีย
คิมซองกยูทำอะไรไม่ได้และปล่อยให้ความสงสัยวนเวียนในความคิด เขาเหยียบคันเร่งโดยไม่สนว่าจะทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายมากแค่ไหน
ไฟหน้ารถส่องไปตามทางคุ้นเคย รอยที่เบาะเช็ดออกไปแล้วแต่เจ้าของมันก็ยังทำให้เขาคิดไม่ตก
เขาทำอะไรไม่ได้เมื่อรู้ว่าหาเด็กคนนั้นไม่เจอ
รู้เพียงเขาต้องรีบกลับเพราะกว่าจะขับรถกลับไปอีกรอบก็คงมืดพอดี และเขาก็คงคิดถูก
ตอนนี้มันค่อนข้างมืดและเขาขับผ่านมันมาแล้ว
ต้นไม้กับป้ายบอกทางเข้าหมู่บ้านของตัวเองที่เจอคนขอความช่วยเหลือเมื่อตอนเย็น
เพียงแสงไฟสาด
เขาเห็นเด็กที่เพิ่งไปส่งในเมืองยืนอยู่ตรงนั้น
และโบกรถ..
-
Trick or Treat -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น